บรรยากาศการทำพิธีศพตามหลักศาสนาอิสลาม ของอดีตนักร้องหนุ่มชื่อดัง นาธาน โอมาน ณ มัสยิดอัลอิสติกอมะห์
พี่คนสนิท นาธาน โอมาน เผยคำพูดฟังแล้วเป็นลาง
บรรยากาศการทำพิธีศพตามหลักศาสนาอิสลาม ของอดีตนักร้องหนุ่มชื่อดัง นาธาน โอมาน ณ มัสยิดอัลอิสติกอมะห์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 ก.ค. 53 ยังคงเป็นไปด้วยความเศร้าโศก
โดยล่าสุดทางด้านของ ดร.ไพบูลย์ บุตรเลียบ พี่ชายคนสนิทและหัวหน้างานที่ทำงานร่วมกัน นาธาน โอมาน มานานกว่า 8 ปี ก็ได้ออกมาพูดถึงช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิต รวมถึงอาการป่วย และคำพูดสุดท้ายของอดีตนักร้องหนุ่มให้เราฟังว่า...
"เราทราบอาการป่วยมาประมาณ 3-4 เดือนแล้วครับ คือก่อนหน้านี้เขาก็ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลรามคำแหง แต่ด้วยความที่มันเป็นช่วง โควิด-19 พอดี จึงยังทำให้ไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเขาเป็นโรคอะไร และตอนนั้นก็ได้ทำการตรวจอาการ โควิด-19 ตามปกติ แต่ก็ไม่ได้พบเชื้อนะครับ ซึ่งทางโรงพยาบาลเขาก็แจ้งมาว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ จากนั้นนาธานเขาก็กลับมาที่พักที่จังหวัดสมุทรสาคร"
"พอเขากลับมาได้สักประมาณ 1 เดือน เขาก็เริ่มมีอาการเหมือนเดิมอีกครั้ง และช่วงนั้นมันค่อนข้างเดินทางลำบากเนื่องจากติดสถานการณ์ โควิด-19 ผมก็เลยต้องพาเขาไปที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งหลังจากเข้าไปทำการรักษา เขาก็มีอาการคล้ายๆ กับไข้หวัดใหญ่นี่ล่ะครับ จนกระทั่งคุณหมอแจ้งว่าเขาเป็นโรคโลหิตจาง และให้ทานอาหารเยอะๆ ตอนนั้นเขาก็ทานอาหารเต็มที่นะครับแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนถึงช่วงหลังนี่แหละที่เขารับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ทานอาหารได้น้อยมาก ทานได้แค่อย่างละนิดอย่างละหน่อย"
"เขาเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ที่จังหวัดสมุทรสาคร จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่เขาไปตรวจตามปกติเขาก็โทรมาหาผมว่า 'เขาต้องนอนโรงพยาบาลนะ' วันนั้นผมก็แจ้งให้คนไปช่วยดูแลเขา แล้วเมื่อคืนนี้เขาส่งข้อความมาหาผมบอกว่าเขาเหนื่อย เจ้าหน้าที่ที่ไปเฝ้าเขาก็เล่าให้ผมฟังว่านาธานเขานอนร้องไห้"
"พอมาถึงช่วงเช้าวันนี้ทางทีมแพทย์ก็โทรมาหาผมบอกว่า ให้ช่วยติดต่อญาติของนาธานให้หน่อยพราะอาจจะต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ สุดท้ายนาธานเขาก็จากไปตอน 09.35 นาที ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด"
เหมือนเขาเคยบอกว่าเราคือคนที่เปลี่ยนชีวิตให้เขาจริงไหม ?
"ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วครับ ตอนนั้นตอนที่เขาจะมาทำงานด้วยผมก็บอกเขาเลยว่า 'ถ้าหากจะอยู่ด้วยกันก็ต้องพูดความจริง' ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็พูดความจริงกับผมมาตลอด ผมรู้สึกได้ และอีกอย่างช่วงระยะ 3-4 ปีหลังที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็ยังไปรับเลี้ยงลูกบุญธรรมคนหนึ่งด้วยที่จังหวัดเชียงใหม่ เหมือนเขามีความรู้สึกว่าอยากจะทำความดี เขาอยากจะทำความดีตั้งแต่อายุเขา 40 เป็นต้นไป"
"ซึ่งโดยรวมแล้วในความรู้สึกผม ผมมองว่าเขาเป็นคนปกตินะ เป็นคนปกติในสังคม แม้ว่าเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เราอาจจะมองว่าเขาเป็นคนน่าด่า แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า 'พนักงานทุกคนในองค์กร ของเราที่มีจำนวนกว่าหลายร้อยชีวิต ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไว้อาลัยให้แก่เขา เขาเป็นคนที่โอเค' แต่นาธานเขาอาจจะมีช่วงเวลาน้อยไปนิดหนึ่งในการทำความดีตอบแทนสังคม"
คุณแม่นาธานเดินทางมาไม่ทันร่วมพิธี ?
"ใช่ครับ เนื่องจากว่าคุณแม่ท่านอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ท่านก็เสียใจเพราะนาธานก็เป็นลูก"
ช่วงที่นาธานป่วยเขาได้พูดคุยอะไรบ้างไหม ?
"เขาเคยพูดครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาบอกผมว่า 'เวรกรรมตามเขามาแล้ว' อันนี้เป็นข้อความที่เขาพูดไว้ก่อนที่เราจะทราบว่าเขาป่วยนะ เขาบอกผมว่า 'เวรกรรมตามเขาทันแล้ว' วันนั้นผมก็ถามเขาปกติเลยว่า 'เรื่องอะไร?' จากนั้นเขาก็ร้องไห้ คือวันนั้นผมก็ทำได้แค่บอกให้เขากลับไปนอนและก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอก นับจากวันนี้ก็ทำความดีซะ ทำทุกอย่างที่มันเป็นเรื่องดีๆ"
"และมันก็เหมือนมีลางบอกเหตุอีก เพราะอยู่ดีๆ เขาก็เข้ามาและก็บอกผมว่า 'ถ้าเขาไม่อยู่แล้วก็ขออโหสิกรรมให้กับคนนี้คนนั้นด้วย' คือ...ผมไม่แน่ใจเลยจริงๆ ว่ามันคืออะไร แต่อันนี้เขาพูดมานานมากแล้วนะ นานมาก พูดก่อนที่จะมาถึงวันนี้อีก น่าจะเกิน 90 วันแล้วด้วยครับ"
ตอนนั้นเราเอะใจไหมที่อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้ ?
"ไม่เลยครับเพราะตลอดเวลา 7-8 ปีที่ทำงานด้วยกันมา การที่เขาเดินเข้ามานั่งและพูดว่าขอโทษ คือเขาทำบ่อยมาก จนผมต้องสอนเขาว่าให้พูดคำว่าขอโทษให้น้อยลงทุกๆ ปี เพราะถ้าทำได้นั่นก็หมายความว่าเขาได้ทำสิ่งดีๆ เพิ่มมากขึ้น"
วันนี้นาธานเขาไปสบายแล้วเรามีอะไรจะพูดไหม ?
"เขาเป็นคนน่าสงสารนะครับ คือที่ผ่านมาก็มีผู้ใหญ่หลายคนเหมือนกันที่บอกกับผมว่า 'เลี้ยงเขาได้ยังไง?' แต่ผมก็ยึดมั่นมาตลอด ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยากโดนด่าหรอกครับ ผมเห็นใจเขานะที่เขาต้องแบกรับภาระเยอะมาก ภาระทางความรู้สึก เพราะคงไม่มีใครหรอกที่ขาวสะอาดไปทั้งหมด ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ก็ถือว่าเขาหมดเวรหมดกรรมแล้วครับ"
เราได้มีคำพูดอะไรบอกกับเขาไหม ?
"ก็บอกเขาไปครับว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ไปให้สบายนะ คือเขาแทบจะตัวคนเดียวอยู่แล้วครับ ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็ไม่ได้ห่วงแล้วเหมือนกัน เพราะปกติผมจะเป็นห่วงเขาตลอด"
ถ้าเปรียบเทียบแล้วเราเป็นเหมือนพ่ออีกคนหนึ่งของเขาได้ไหม ?
"เป็นพี่ชายดีกว่าครับ เวลาเขาไม่สบายใจหรือมีเรื่องอะไรก็ให้เขาพูดกับผมแบบตรงไปตรงมาผมรับได้ทุกอย่าง เพราะผมเชื่อว่าเราต้องให้โอกาสคนครับ"
ที่มา: www.sanook.com