ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยรายละเอียดของแผนสันติภาพตะวันออกกลาง
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยรายละเอียดของแผนสันติภาพตะวันออกกลาง
ซึ่งเขาหวังว่าจะช่วยแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่สร้างความหนักอกหนักใจแก่บรรดาผู้ไกล่เกลี่ยมานานหลายสิบปี ขณะที่ผู้นำปาเลสไตน์ออกมาประณามแผนของผู้นำสหรัฐฯ ว่ากำหนดเงื่อนไขเข้มงวดต่อฝ่ายตน แต่กลับเปิดทางให้อิสราเอลมีอำนาจควบคุมถิ่นฐานชาวยิวในเวสต์แบงค์
ทรัมป์ ยกย่องแผนสันติภาพฉบับนี้ว่าเป็น “ดีลแห่งศตวรรษ” ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ออกมาให้กำลังใจว่า “เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี” สำหรับการรื้อฟื้นเจรจา เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและอียิปต์ซึ่งส่งสัญญาณหนุนข้อเสนอของอเมริกาเช่นกัน
ประเด็นสำคัญในข้อพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์มีอะไรบ้าง?
- สถานะของเยรูซาเลม รวมถึงศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ในศาสนายูดาย, อิสลาม และคริสต์
- การกำหนดเส้นพรมแดนที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบ
- การกำหนดมาตรการรักษาความมั่นคงเพื่อป้องกันไม่ให้ปาเลสไตน์และชาติเพื่อนบ้านคู่อริโจมตีอิสราเอล
- ข้อเรียกร้องของปาเลสไตน์ที่ต้องการสร้างรัฐใหม่ขึ้นบนพื้นที่เวสต์แบงค์, ฉนวนกาซา และเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งถูกอิสราเอลเข้ายึดครองภายหลังสงครามตะวันออกกลางปี 1967
- แนวทางช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ซึ่งมีอยู่นับล้านคน
- แนวทางแบ่งปันทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำ
- ข้อเรียกร้องของปาเลสไตน์ซึ่งต้องการให้อิสราเอลรื้อถอนบ้านเรือนชาวยิวในเวสต์แบงค์และเยรูซาเลม โดยปัจจุบันมีพลเมืองอิสราเอลกว่า 400,000 คนเข้าไปอาศัยอยู่รวมกับชาวปาเลสไตน์ 3 ล้านคนในเวสต์แบงค์ และยังมีชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเยรูซาเลมตะวันออกอีกราว 200,000 คน
เนทันยาฮู ซึ่งไปร่วมงานแถลงเปิดตัวแผนสันติภาพของ ทรัมป์ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า “นี่คือวันแห่งประวัติศาสตร์” และยังยกย่องแผนของ ทรัมป์ ว่ายิ่งใหญ่พอๆ กับตอนที่ประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน รับรองสถานะของอิสราเอลในปี 1948
“ท่านเป็นผู้นำคนแรกของโลกที่ให้การยอมรับในอธิปไตยของอิสราเอลเหนือแผ่นดินยูเดีย (Judea) และซามาเรีย (Samaria) ซึ่งสำคัญต่อความมั่นคงของเราอย่างยิ่งยวด และเป็นศูนย์กลางแห่งมรดกของเรา” เนทันยาฮู อ้างถึงชื่อของเวสต์แบงค์ในพระคัมภีร์ไบเบิล
ในทางกลับกัน ประธานาธิบดี มะห์มูด อับบาส แห่งปาเลสไตน์ประณามแผนสันติภาพของ ทรัมป์ ว่าเป็น “การตบหน้าฉาดใหญ่แห่งศตวรรษ” (slap of the century)
“ผมขอบอก ทรัมป์ และ เนทันยาฮู ให้รับรู้ไว้ด้วยว่า เยรูซาเลมไม่ใช่ของซื้อของขาย สิทธิ์ของเราทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่จะมาซื้อขายหรือต่อรองกันได้ และแผนสมคบคิดของพวกคุณจะไม่มีวันสำเร็จ”
ขบวนการฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ที่มีฐานที่มั่นในกาซาก็วิจารณ์ ทรัมป์ ว่าใช้วาจา “ก้าวร้าว” และมีแต่จะเพิ่มความโกรธแค้นให้แก่ชาวปาเลสไตน์
“ข้อเสนอของ ทรัมป์ เกี่ยวกับเยรูซาเลมเป็นเรื่องไร้สาระ และเยรูซาเลมจะเป็นดินแดนของชาวปาเลสไตน์ตลอดไป”
ทั้งนี้ ผู้นำปาเลสไตน์ถือว่าสหรัฐฯ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยอีกต่อไป หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศนโยบายหลายอย่างที่สร้างความลิงโลดแก่อิสราเอล แต่เหยียบย่ำจิตใจชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นการรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงอิสราเอล, ย้ายสถานทูตอเมริกันจากเทลอาวีฟไปเยรูซาเลม และยังตัดงบประมาณหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯ เคยจ่ายเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์