คำว่า “มุสลิม” กับ “อาหรับ” มักถูกเข้าใจว่ามีความหมายเหมือนกัน หรือใช้แทนกันได้
คำว่า “มุสลิม” กับ “อาหรับ” มักถูกเข้าใจว่ามีความหมายเหมือนกัน หรือใช้แทนกันได้ ความเข้าใจเช่นนี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ตะวันออกกลาง (อันเป็นพื้นที่ที่ชาวอาหรับส่วนใหญ่อาศัยอยู่) เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมัน เป็นพื้นที่ที่มีสถานศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนามากมาย เป็นดินแดนต้นกำเนิดของอิสลาม และเป็นพื้นที่ที่มีสงครามและความขัดแย้งเกิดขึ้นมาตลอดอย่างต่อเนื่องนับหลายศตวรรษจนเป็นที่รู้จักกันดี
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าอาหรับก็คือมุสลิมและมุสลิมทั้งหมดก็คืออาหรับ อะไรก็ตามที่เป็นวิถีอาหรับหรือเป็นการกระทำของอาหรับจึงถูกเหมารวมว่าเป็นตัวแทนของมุสลิมทั้งหมด หรือเป็นตัวแทนของศาสนาอิสลาม
ในความเป็นจริงแล้ว ประชากรมุสลิมในโลกขณะนี้มีอยู่ประมาณร้อยละ 23 ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมด นั่นหมายความว่าประชากรโลกทุกๆ 5 คนจะเป็นมุสลิมเสีย 1 คน ชาวมุสลิมจำนวนกว่า 1,600 ล้านคนเหล่านี้มาจากภูมิหลังและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน มาจากประเทศและชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ชาวอาหรับเองก็ไม่ได้เป็นประชากรส่วนใหญ่ของโลกมุสลิม แต่มุสลิมส่วนใหญ่นั้นอาศัยอยู่นอกตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก
ประเทศที่มีมุสลิมมากที่สุดในโลก 5 อันดับต้นๆ คือ อินโดนีเซีย (203 ล้าน) ปากีสถาน (174 ล้าน) อินเดีย (161 ล้าน) บังกลาเทศ (145 ล้าน) อิหร่าน (74 ล้าน) ทั้ง 5 ประเทศมีมุสลิมรวมกันคิดเป็นร้อยละ 85 ของมุสลิมในเอเชียทั้งหมด และคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 53) ของมุสลิมทั่วโลก ประเทศเหล่านี้ไม่มีประเทศไหนเลยที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ แต่ประชากรอาหรับมุสลิมคิดเป็นเพียงร้อยละ 20 ของประชากรมุสลิมโลกทั้งหมด
ในแง่ของชาติพันธุ์แล้ว ชาวอาหรับคือพวกเซไมต์ซึ่งมีเชื้อสายเดียวกับชาวยิว และมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์กับประชากรมุสลิมส่วนใหญ่ เช่น มุสลิมเชื้อสายปาทาน เปอร์เซีย เติร์ก เคิร์ด มลายู เบงกาลี จีน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมทั่วโลกก็มีความรู้สึกที่ดีต่อชาวอาหรับ เพราะท่านศาสดามุฮัมมัดเองก็เป็นชาวอาหรับ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์อัลกุรอานก็เป็นภาษาอาหรับ และครั้งหนึ่งโลกอาหรับก็เคยเป็นดินแดนที่ผนวกผสานขุมแห่งปัญญาที่หลากหลายทั้งของกรีก โรมัน เปอร์เซีย และไบเซนไทน์ จนก่อเกิดเป็นศิลปะวิทยาการที่เรืองรองที่สุดในโลกยุคกลาง
ในเวลาต่อมา ชาวอาหรับก็ได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดวิทยาการต่างๆ ไปสู่ยุโรป เป็นผลให้ตะวันตกตื่นขึ้นจากการหลับใหล จนนำไปสู่การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของโลกสมัยใหม่ เรียกได้ว่าไม่มีชนชาติใดในยุคกลางที่มีส่วนส่งเสริมความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองได้เท่าเทียมกับชาวอาหรับและชนชาติที่พูดภาษาอาหรับได้เลย
แม้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่จะชื่นชมชาวอาหรับในแง่ที่กล่าวไปข้างต้น แต่ชาวอาหรับก็ไม่ใช่ตัวแทนของอิสลาม และไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวมุสลิมทั้งหมด อาหรับหลายประเทศปกครองโดยเผด็จการที่อ้างอิสลามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน ในสังคมอาหรับเรายังเห็นประเพณีป่าเถื่อนที่ได้รับอิทธิพลถ่ายทอดมาจากขนบธรรมเนียมแบบชนเผ่าและสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งขัดแย้งกับหลักคำสอนของอิสลาม
ฉะนั้น หากชาวอาหรับปฏิบัติต่อเพศหญิงเยี่องทาสและปิดกั้นโอกาสความก้าวหน้าของพวกเธอ นั่นจึงไม่ใช่ตัวแทนของผู้หญิงมุสลิมส่วนใหญ่จำนวนนับล้านที่อยู่นอกสังคมอาหรับ และหากอาหรับบางประเทศออกกฎหมายที่เข้าขั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน นั่นก็ไม่ใช่ตัวแทนของมุสลิมนับพันล้านที่เป็นสมาชิกของอารยะสังคมในส่วนต่างๆ ทั่วโลกเช่นกัน