แม่ของหนึ่งในนักศึกษา ที่ถูกรับน้องในลักษณะดังกล่าว เปิดเผยว่า ลูกชายเรียน
วันที่ 4 พ.ย. แม่ของหนึ่งในนักศึกษา ที่ถูกรับน้องในลักษณะดังกล่าว เปิดเผยว่า ลูกชายเรียนคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ โดยถูกรุ่นพี่ตีอย่างรุนแรงจนเป็นรอย ลูกชายระบุว่ารุ่นพี่ได้ทำกิจกรรมรับน้องที่เรียกว่า “7 วันอันตราย” ซึ่งจัดขึ้นหลังจากมหาวิทยาลัยเปิดเทอม แม้จะรุนแรงแต่ลูกชายก็อดทนทำกิจกรรมจนผ่านมาได้
แต่หลังจากนั้นทางรุ่นพี่ก็ยังมีการจัดกิจกรรมรับน้องอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ และเห็นว่ากิจกรรมที่ทำนั้นมีความรุนแรง ทารุณรุ่นน้อง จึงได้เอามาแอบเล่าให้กับทางผู้ปกครองฟัง เนื่องจากก่อนทำกิจกรรมทางรุ่นพี่ได้มีการให้รุ่นน้องสาบานว่าจะไม่เอาเรื่องราวการจัดกิจกรรมนั้นไปเผยแพร่ให้ใครทราบ แม้กระทั่งผู้ปกครอง แต่เนื่องจากลูกชายของตนทนไม่ไหวจึงเอามาเล่า พร้อมทั้งได้มีการส่งภาพร่องรอยที่ถูกรุ่นพี่ทำร้ายให้ดูด้วย โดยได้ส่งภาพมาเมื่อคืนวันที่ 4 ต.ค.
เมื่อตนเห็นภาพก็ถึงกับตกใจและตัดสินใจนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่ทางตำรวจแจ้งว่า การดำเนินการดังกล่าวจะต้องไปพูดคุยกับทางมหาวิทยาลัยเสียก่อน จึงจะสามารถดำเนินการกับคนที่กระทำความผิดได้ เมื่อตนได้เข้าไปพูดคุยกับทางมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
จึงตัดสินใจนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโพสต์เพื่อต้องการเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยมีการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยนั้นจะมีการติดป้ายว่าไม่ส่งเสริมให้มีการรับน้องรุนแรง หรือไม่สร้างสรรค์แล้วก็ตาม แต่ก็มีรุ่นพี่บางกลุ่มยังละเมิดกฎและแอบเอารุ่นน้องไปทำกิจกรรมในที่ลับตาคน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตนได้ทราบจากลูกชายมาทั้งหมด
หลังจากเกิดเรื่องถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ตนเองจึงตัดสินใจให้ลูกชายยื่นใบลาออกกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะกลัวว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็จะมีผลกระทบกับลูกชาย แม้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะถือเป็นธรรมเนียมที่รุ่นพี่ถือปฏิบัติกันมาต่อเนื่องก็ตาม แต่ตนเองเห็นว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงและทารุณมากเกินไป
ตอนแรกตนสนับสนุนให้ลูกชายเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้อย่างเต็มที่ เพราะลูกชายตั้งใจจะมาเรียนที่สาขานี้อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ลูกชายได้โควตาด้วย แต่สุดท้ายกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้จึงทำใจยอมรับไม่ได้
ส่วนการดำเนินการนั้นยังคงรอทางมหาวิทยาลัยเซ็นอนุมัติการยื่นใบลาออกอยู่ และต้องยอมให้ลูกชายพักการเรียนไป 1 ปี จากนั้นจึงจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอื่นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยากให้ทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบและแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับนักศึกษาที่ตั้งใจเข้ามาเรียนอีกในอนาคตด้วย