8 นัดพรีเมียร์ลีกผ่านไปแล้ว หงส์แดง ลิเวอร์พูลชนะ 100% และที่สำคัญ
หงส์จะสามารถยึดอันดับได้อย่างเหนียวแน่นต่อไปเรื่อยๆ นานแค่ไหน จะทำได้แบบ “ม้วนเดียวจบ” เหมือนแมนฯซิตี้ ในฤดูกาล 2017. 18 เลยหรือไม่
นี่คือเหตุผล 8 ข้อ ที่เชื่อได้ว่า หงส์แดง มีสิทธิฝันถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้จริงๆ
1. แมนฯซิตี้ มีปัญหารุมเร้าเกินไป
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของลิเวอร์พูล คือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่นที่แล้ว มีช่วงที่ลิเวอร์พูลนำถึง 10 แต้ม แต่ก็กลับมาโดนพลิกสถานการณ์แซงเข้าป้ายเป็นแชมป์ได้สำเร็จ
แต่ประเด็นคือแมนฯซิตี้ ในช่วงซีซั่นที่แล้ว มีทีมที่สมบูรณ์มาก พวกเขาสามารถส่งตัวหลักลงเล่นได้ตลอด ไม่มีใครบาดเจ็บหนักๆเลย
แต่มาในซีซั่นนี้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแมนฯซิตี้ เพราะมีตัวหลักเจ็บระนาว เริ่มจากลีรอย ซาเน่ เจ็บตั้งแต่ยังไม่ออกสตาร์ตฤดูกาล พักยาว 4 เดือน
อายเมอริก ลาป็อกต์ เซ็นเตอร์แบ็กเบอร์ 1 เจ็บเข่าไม่มีกำหนดรีเทิร์น
เควิน เดอ บรอยน์,เบนจาแม็ง เมนดี้,จอห์น สโตนส์ และ ไคล์ วอล์กเกอร์ ก็มีอาการเจ็บรบกวน แม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ลงสนามไม่ได้
การเจ็บเยอะขนาดนี้ ส่งผลให้พวกเขาลำบากมากในการจัดตัว อย่างตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ก็เหลือแค่นิโกลาส โอตาเมนดี้ คนเดียวที่เป็นเซ็นเตอร์ธรรมชาติ ต้องดันเอาแฟร์นันดินโญ่ มาเล่นเฉพาะกิจ
ด้วยความที่เรือใบอาการหนักขนาดนี้ ไม่มีอะไรการันตีว่าพวกเขาจะไม่ทำแต้มหลุดมืออีก
2. คู่แข่งทีมอื่นสะดุดหมด
นอกจากแมนฯซิตี้แล้ว คู่แข่งที่ควรจะสอดแทรกมา อย่างเชลซี อาร์เซน่อล สเปอร์ส หรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องหาจังหวะของตัวเองอยู่
เชลซี กับ อาร์เซน่อล เริ่มฟอร์มกระเตื้องแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะสม่ำเสมอแค่ไหน ขณะที่แมนฯยูไนเต็ด ยังคงต้องเรียกฟอร์มเก่าๆกลับมาให้ได้ก่อน
เช่นเดียวกับสเปอร์ส ที่กำลังระส่ำสุดๆ หลังแพ้ไบรท์ตัน 3. 0 เล่นเอาเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กลายเป็นตัวเต็งโค้ชคนต่อไปที่จะโดนปลดเลยทีเดียว
ในขณะที่แมนฯซิตี้ มีพลาดให้เห็น แต่ทีมอื่นๆ ก็ไม่ฉกฉวยโอกาสนี้ไว้ คิดดูเรือใบสีฟ้า สะดุดแพ้ 2 นัด เสมอ 1 นัด แต่พวกเขายังอุตส่าห์เป็นรองจ่าฝูงของลีกได้อีก
3. ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึงขุมกำลังที่แน่นปึ้ก
ลิเวอร์พูลออกสตาร์ตในเกมแรกกับนอริช ด้วยการเสียอลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือ 1 ของทีมจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ต้องส่งอาเดรียน นายทวารเบอร์ 2 ลงมาเล่นแทนเป็นการเฉพาะกิจ
ถัดจากเกมนอริช อาเดรียนลงเล่นไป 7 นัด จริงอยู่ว่าเก็บคลีนชีทได้แค่ 2 เกมแต่อีก 5 นัดที่เหลือ ก็เสียเพียงแค่นัดละ 1 ประตูเท่านั้น เขามีลูกเซฟสวยๆให้เห็นต่อเนื่อง คือไม่ได้ห่างชั้นกับอลิสซอนขนาดนั้น
ขณะที่ตัวสำรองคนอื่น ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เกมแรกของซีซั่น ซาดิโอ มาเน่ ไม่พร้อม ดิว็อค โอริกี้ ก็ออกสตาร์ตแทน แล้วยิงได้ด้วย
หรือโจเอล มาติป บาดเจ็บในเกมล่าสุดกับเลสเตอร์ เดยัน ลอฟเรน ลงมาแทนก็ทดแทนได้ดี
ในขณะที่แมนฯซิตี้ ลงตลาดนักเตะได้ไม่ดีนัก พวกเขาไม่ซื้อเซ็นเตอร์แบ็กรายใหม่ มาแทนแวงซ็องต์ ก็องปานีด้วยซ้ำ ตรงข้ามกับลิเวอร์พูล พวกเขามีตัวที่ดูพร้อมกว่า ณ เวลานี้
4. ชนะได้ในเกมที่ควรเสมอ
ลิเวอร์พูลในซีซั่นนี้ ไม่ได้เดินหน้าถล่มคู่แข่งทุกเกม มีบางนัดที่พวกเขาก็เกือบได้ผลเสมอเช่นกัน
เกมเจอเชลซี นำ 2. 1 และโดนเชลซีพับสนามช่วง 10 นาทีสุดท้าย แต่ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ เช่นเดียวกับ เกมเจอเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็มายิงได้ในช่วงท้าย เฉือนชนะไป 1. 0
ล่าสุดเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ บอลจะเสมออยู่แล้ว แต่หงส์แดง ก็ยังอุตส่าห์เรียกจุดโทษได้ช่วงทดเจ็บ คว้าชัยไปอีกด้วยสกอร์ 2. 1
คุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์คือ ชนะได้ในเกมที่ควรเสมอ และเสมอได้ในเกมที่ควรแพ้ ซึ่งลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ มีคาแรคเตอร์แบบนี้ชัดเจนเลยทีเดียว
5. หงส์ได้กำไรมาแล้ว 2 เกม
ในซีซั่นที่แล้ว ลิเวอร์พูลทำได้ 97 แต้ม พวกเขาชนะ 30 นัด เสมอ 7 และแพ้ 1
1 นัดที่แพ้ คือ
– แมนฯซิตี้ (เยือน)
7 นัดที่เสมอ คือ
– เชลซี (เยือน)
– แมนฯซิตี้ (เหย้า)
– อาร์เซน่อล (เยือน)
– เลสเตอร์ (เหย้า)
– เวสต์แฮม (เยือน)
– แมนฯยูไนเต็ด (เยือน)
– เอฟเวอร์ตัน (เยือน)
ในซีซั่นนี้ หงส์แดงเจอ Fixture ที่พลาดๆเหล่านี้ ไปแล้ว 2 เกม คือ เยือนเชลซี กับ เหย้าเลสเตอร์ ซึ่งลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะได้รวดทั้ง 2 นัด ซิว 6 แต้มเต็ม เรียกได้ว่ากำไรจากซีซั่นก่อนไปแล้ว 4 แต้ม
ถ้าหากคิดว่าลิเวอร์พูล จะไม่พลาดในเกมที่เคยชนะในซีซั่นที่แล้ว ก็มีโอกาสดีที่ลิเวอร์พูลจะได้แต้มเพิ่มมากกว่า 97 คะแนนในซีซั่นนี้
6. คล็อปป์ เรียนรู้เสมอจากความผิดพลาด
เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม ที่เจอความผิดหวังบ่อย แต่ก็ไม่เอาความผิดหวังมาบั่นทอนตัวเอง คล็อปป์เรียนรู้ และเดินหน้าต่อไป
ในอดีตคล็อปป์เคยพาทีมเข้าชิงในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มา 2 ครั้ง กับดอร์ทมุนด์ในปี 2013 และ ลิเวอร์พูลในปี 2018 แต่ก็จบแบบเจ็บๆ พ่ายในนัดชิงทั้ง 2 นัด
แต่เขาเองก็เรียนรู้จากความผิดพลาด ศึกษาว่าปัญหามันเกิดจากอะไร เพื่อถ้ามีโอกาสอีกสักครั้ง จะไม่ให้ซ้ำรอยเดิมอีก
จนสุดท้ายคล็อปป์ก็ทำได้ เขาคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ จากการเข้าชิงหนที่ 3
ในพรีเมียร์ลีกก็เช่นกัน การได้รองแชมป์แบบฉิวเฉียดในซีซั่นก่อน คล็อปป์เองก็ได้บทเรียนไปเยอะแล้ว และมีความตั้งใจจะเอามาพัฒนาให้ดีขึ้นในซีซั่นนี้
อย่างเช่นความเก๋าในการปิดเกม ที่กำชับลูกทีมชัดเจนว่า 3 แต้ม สำคัญกว่าเล่นสวย นักเตะต้องมีความเป็นมืออาชีพ ไม่เล่นพลาดง่ายๆ ในสถานการณ์ที่นำอยู่
7. ปัญหาภายในเคลียร์ได้เร็ว
ซีซั่นนี้ลิเวอร์พูลจัดการทุกเรื่องที่น่าจะทำให้ทีมเสียสมาธิได้หมด และทำได้อย่างรวดเร็วด้วย
ดิว็อค โอริกี้ เหมือนจะไม่ต่อสัญญาแต่สุดท้าย หงส์ก็จับเขาขยายสัญญาได้สำเร็จ จบปัญหากันไป
เช่นเดียวกับเรื่องดราม่าของซาดิโอ มาเน่ และ โม ซาลาห์ ที่มาเน่โกรธที่ซาลาห์ไม่ยอมส่งบอลให้ ก็มีตึงๆใส่กันวันเดียวแต่หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ดีกันเหมือนเดิม
ในเกมฟุตบอลปัญหาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ล่ะ ที่จะทำให้นักเตะเสียสมาธิ และส่งผลต่อผลการแข่งขัน ซึ่งลิเวอร์พูลเอง รู้ความน่ากลัวดี และรีบจัดการปัญหาเนิ่นๆก่อนที่จะลุกลามไปไกล
8. ความกระหายของนักเตะ และแฟนบอล
ในซีซั่นก่อนหน้านี้ ยังมีคำถามอยู่บ้าง ว่าลิเวอร์พูลจะโฟกัสที่ถ้วยไหนมากกว่า ระหว่างพรีเมียร์ลีก หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่หลังจากได้แชมป์ยุโรปไปแล้ว คราวนี้หงส์แดง จะมาเน้นเต็มตัวที่บอลลีกแน่นอน
นักเตะทั้งหมดในทีมชุดปัจจุบัน มีแค่คนเดียวที่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีก นั่นคือเจมส์ มิลเนอร์ ตอนอยู่แมนฯซิตี้ แต่กับคนอื่นไม่เคยเลย พวกเขาก็อยากพาหงส์แดงไปถึงแชมป์ลีกได้เหมือนกัน
ความกระหายในตอนนี้ ทุกความสำคัญจะเน้นไปที่พรีเมียร์ลีกทั้งหมด
ไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้น แต่แฟนๆก็กระหายอย่างเป็นแชมป์เช่นกัน ถ้าทำได้ในซีซั่นนี้ จะเป็นการยุติ 30 ปีแห่งการรอคอยลงได้สำเร็จด้วย
นี่คือ 8 เหตุผลที่ลิเวอร์พูลมีสิทธิไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากผ่านการแข่งไปแล้ว 8 นัด แต่แน่นอน เกมฟุตบอลยังอีกยาวไกล เหลืออีกถึง 30 นัดที่ลงเล่น
และแฟนลิเวอร์พูลก็ต้องส่งใจเชียร์ให้ทีม ให้รักษาความสม่ำเสมอเอาไว้จนจบฤดูกาล
ที่มา Workpoint News