สินทรัพย์ปลอดภัยก็กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นกดดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้น
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในคืนที่ผ่านมาตลาดการเงินทั่วโลกต่างปิดรับความเสี่ยงไล่ตั้งแต่ดัชนีS&P500 ของสหรัฐที่ปิดลบ3.0% ไปจนถึงฝั่งยุโรปที่ดัชนีSTOXX50 และดัชนีFTSE100 ของอังกฤษปรับตัวลดลง1.9% และ2.5% ตามลำดับ
ขณะเดียวกันสินทรัพย์ปลอดภัยก็กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์) สหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลง 11 bps แตะระดับ 1.73% ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ราคาทองคำทะยานขึ้น 1.9% สู่ระดับ 1,468.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงที่สุดในรอบ 6 ปี
นายจิติพล กล่าวว่า ด้านเงินเยนก็ปรับตัวขึ้น 0.5% แตะระดับ 106.0 เยนต่อดอลลาร์หรือแข็งค่ามากสุดในรอบ7 เดือนทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
หลังเงินหยวนอ่อนค่าทะลุแนวต้านจิตวิทยาที่ 7.00 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐสวนทางคำขู่ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสินค้าจีนมูลค่า3แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน
นอกจากนี้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจโลกก็ไม่สดใสไล่ตั้งแต่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของจีนที่ลดลง0.6จุดสู่ระดับ 51.6 จุด
ตามมาด้วยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐที่ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ3ปีชี้ชัดว่าผู้ประกอบการณ์ทั่วโลกกำลังชะลอการทำธุรกิจลงจากปัญหาการค้าที่วุ่นวาย
นายจิติพล กล่าวว่า เงินบาทเปิดเช้าวันที่ 6 สิงหาคม เปิดที่ระดับ 30.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.79 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วงนี้ตลาดเงินมีความเปราะบางมากเนื่องจากมีแรงกดดันด้านขายจากฝั่งตลาดทุนเพราะนักลงทุนปิดรับความเสี่ยงธนาคารกลางทยอยลดดอกเบี้ยขณะเดียวกันเงินหยวนที่อ่อนค่าเร็วก็ดึงให้แทบทุกสกุลเงินเอเชียอ่อนค่าตามไปด้วย
อย่างไรก็ดีการที่เงินเยนและทองคำปรับตัวขึ้นกลับถือเป็นสัญญาณว่าตลาดไม่ได้กังวลกับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของฝั่งเอเชียมากนักขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)
วันที่ 7 สิงหาคมนี้อาจสวนกระแสนโยบายการเงินโลกด้วยการตรึงดอกเบี้ยที่ระดับ1.75% ระยะกลางจึงมีความเป็นไปได้สูงที่นักลงทุนอาจกลับเข้าถือเงินบาทเพื่อหลบความเสี่ยงสงครามการค้าเช่นกันคาดกรอบค่าเงินบาทวันนี้30.75-30.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ