ศาลสิงคโปร์พิพากษาให้จำคุกนายจ้างจากความผิดล่วงละเมิดสาวใช้ชาวอินโดนีเซียอย่างทารุณ
สเตรทส์ ไทมส์ รายงานว่า ศาลสิงคโปร์มีคำพิพากษาเมื่อวาน ( 1 ส.ค.) ให้จำคุก นางซาเรียห์ โมห์ อาลี เป็นเวลา 11 ปี และจ่ายค่าเสียหายเกือบ 5.6 หมื่นดอลลาร์สิงคโปร์หรือเลือกจำคุกเพิ่มอีก 5 เดือน
จากความผิดล่วงละเมิด คาร์นิฟาฟ์ สาวใช้ชาวอินโดนีเซียอย่างทารุณ จนทำให้เธอเสียโฉมอย่างถาวร
ส่วนนายโมฮัมหมัด ดาห์ลัน สามีวัย 60 ปี ถูกตัดสินจำคุก 15 เดือน และจ่ายค่าชดเชย 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือจำคุก 5 วัน สองสามีภรรยายื่นอุทธรณ์
อัยการระบุว่า คดีนี้นับว่าเป็นการทารุณกรรมสาวใช้หรือผู้ช่วยแม่บ้านอย่างเลวร้ายที่สุด เท่าที่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์
นางซาเรียห์ วัย 58 ปี ถูกตัดสินเมื่อสองปีก่อน ว่ามีความผิด 12 ข้อหา จากการใช้ค้อนทุบศีรษะและฟาดที่ปากของสาวใช้ ที่ขณะนั้นอายุ 32 ปี ใช้ไม้รวกหรือไม้ไผ่ฟาดที่หู และใช้สากตีหน้าผาก แทงบ่าของสาวใช้ด้วยกรรไกร ใช้มีดปาดหน้าแขน และหักนิ้วก้อยไปข้างหลังจนหัก
ส่วนสามีของเธอ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วยการใช้กระทะทุบศีรษะ ที่แฟลตเขตวูดแลนดส์ ช่วงเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2555
คานิฟาห์ จากบ้านในเมืองอินดรามายุ จ.ชวาตะวันตก ไปทำงานเป็นผู้ช่วยแม่บ้านให้กับสามีภรรยาสิงคโปร์คู่นี้เมื่อพฤศจิภายน 2554 เริ่มแรก ความสัมพันธ์กับครอบครัวนายจ้างเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร ก่อนย่ำแย่ลงกลางปี 2545 นายจ้างเริ่มตำหนิติเตียนและทำร้ายร่างกาย
การล่วงละเมิดเกิดขึ้นเป็นระยะนานครึ่งปี ทำให้ คานิฟาห์ หูพิการ มีแผลเป็นบนหน้าผากเห็นชัดเจน ศีรษะด้านหลังและที่ไหล่ ส่วนนิ้วก้อยใช้งานไม่ได้ถาวร
อัยการขอให้ผู้พิพากษาจำคุกนางซาเรียห์อย่างต่ำ 13 ปี และโมฮัมหมัด สามี 18 เดือน ฐานล่วงละเมิดอย่างน่าสยดสยองต่อโจทก์ นี่เป็นคดีล่วงละเมิดสาวใช้เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สิงคโปร์ จำเป็นต้องส่งสาส์นอย่างหนักแน่นว่า สิงคโปร์จะไม่อดกลั้นต่อการปฏิบัติต่อสาวใช้ในบ้านเช่นนี้
อัยการกล่าวด้วยว่า เหยื่อไม่เพียงบาดเจ็บทางกาย แต่ทางจิตใจก็สาหัสไม่แพ้กัน นายจ้างไม่อนุญาตให้คานิฟาห์โทรกลับบ้าน หรือใช้โทรศัพท์
อีกทั้งห้ามพูดคุยกับเพื่อนบ้าน และสั่งให้เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องน้ำที่ครัวเวลามีแขกไปเยี่ยมที่แฟลต การถูกกระทำทั้งร่างกายและจิตใจ
ทำให้เหยื่อขวัญผวา แค่มองเห็นนายจ้างก็รู้สึกหวาดกลัวเพราะนึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำกับเธอ และกลัวว่าจะโดนกระทำอีก นอกจากนี้ แผลเป็นและรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนถาวรทำให้เธอรู้สึกอับอาย และคิดว่าผู้คนรังเกียจกับรูปโฉมตัวเอง