ทางการจีนแยกเด็กมุสลิมอุยกูร์ออกจากครอบครัวตัวเอง ไปเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของจีน
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ทางการจีนแยกเด็กมุสลิมอุยกูร์ออกจากครอบครัวตัวเอง ไปเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของจีน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแยกเด็กๆ ออกจากรากเหง้าความเป็นอุยกูร์ของตัวเอง ไม่ให้เด็กนับถือศาสนาอิสลามและไม่ให้ใช้ภาษาอุยกูร์
แม่ของเด็กอุยกูร์ที่ถูกจับเข้าโรงเรียนประจำให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า เธอไม่รู้ว่าใครดูแลลูกของเธอ และเธอก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เกี่ยวกับลูกสาวทั้ง 3 คนของเธอเลย ขณะที่แม่ของเด็กอีก 4 คนก็กล่าวว่า เธอได้ยินว่า ลูกของเธอถูกพาไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
สำนักข่าวบีบีซีได้ตรวจสอบเอกสารที่ทางการจีนเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีการระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ประเมินอย่างเป็นทางการแล้วว่า เด็กคนไหนจำเป็นต้องได้กับ “การดูแลจากส่วนกลาง” ขณะที่ดร.อาเดรียน เซนซ์ นักวิจัยชาวเยอรมันที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกักกันในซินเจียงอุยกูร์ระบุว่า มีการขยายโรงเรียนในพื้นที่ สร้างหอพักใหม่ให้รองรับนักเรียนจำนวนมากได้ตลอดเวลา โดยพื้นที่ทางตอนใต้ของซินเจียงอุยกูร์เพียงส่วนเดียวมีการใช้งบประมาณสร้างอาคารและขยายโรงเรียนอนุบาลต่างๆ ไปถึง 1,200 ล้านดอลลาร์
ในปี 2017 เพียงปีเดียว จำนวนเด็กที่เข้าเรียนอนุบาลในซินเจียงอุยกูร์เพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 คน และข้อมูลของทางการจีนยังแสดงให้เห็นว่า เด็กชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 90 ของจำนวนเด็กที่เพิ่มขึ้นมา ส่งผลให้จำนวนการเข้าเรียนอนุบาลในซินเจียงอุยกูร์สูงสุดที่สุดในประเทศ จากเดิมที่จำนวนเฉลี่ยของเด็กที่เข้าเรียนอนุบาลในซินเจียงอุยกูร์อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศด้วยซ้ำ
บีบีซียังได้สัมภาษณ์ชาวอุยกูร์ที่อาศัยในต่างประเทศ แต่ยังมีญาติพี่น้องในซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งจากการสัมภาษณ์ 60 คน พ่อแม่และญาติได้เล่ารายละเอียดตอนเด็กหายตัวไปมากกว่า 100 คน และทั้งหมดเป็นเด็กชาวอุยกูร์ และในรายงานยังระบุว่า ในเมืองหนึ่งมีเด็กมากกว่า 400 คนที่พ่อหรือแม่ต้องเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันหรือถูกขังอยู่ในเรือนจำ
ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่า จีนจับผู้ใหญ่ชาวอุยกูร์เข้าค่ายกักกันขนาดใหญ่เพื่อปรับทัศนคติในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งมีรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและซ้อมทรมานชาวอุยกูร์ โดยมีการประเมินว่าน่าจะมีคนอยู่ในค่ายดังกล่าวประมาณ 1 ล้านคน