นิวซีแลนด์เริ่มโครงการ ‘รับซื้อปืน’ คืนจากเอกชนนาน 6 เดือน หลังเหตุกราดยิงมัสยิดไครสต์เชิร์ช
รัฐบาลนิวซีแลนด์เริ่มโครงการรับซื้อคืนปืนไรเฟิลจู่โจมและปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งกลายเป็นอาวุธต้องห้ามที่ถูกสั่งแบนหลังเกิดเหตุกราดยิงมัสยิด 2 แห่งที่เมืองไครสต์เชิร์ชเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
แกรนต์ โรเบิร์ตสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และ สจวร์ต แนช รัฐมนตรีกระทรวงตำรวจนิวซีแลนด์ ระบุในถ้อยแถลงร่วมวันนี้ (20 มิ.ย.) ว่ารัฐบาลได้จัดสรรงบ 208 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์
เพื่อจ่ายให้แก่เอกชนที่นำปืนมาคืนให้รัฐในช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้า โดยจะให้ราคาสูงสุด 95% ของราคาจริง
โครงการรับซื้อคืนปืนจะมีไปจนถึงวันที่ 20 ธ.ค. รัฐสภานิวซีแลนด์ผ่านร่างกฎหมายอาวุธปืนฉบับใหม่ด้วยคะแนนโหวต 119 ต่อ 1 เสียงเมื่อเดือน เม.ย.
ซึ่งถือเป็นการยกเครื่องกฎหมายควบคุมปืนครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 1 เดือน เบรนตัน ทาร์แรนต์ ชายออสเตรเลียผิวขาว ได้ถือปืนเข้าไปกราดยิงใส่ชาวมุสลิมที่กำลังละหมาดวันศุกร์ในมัสยิด 2 แห่งของเมืองไครสต์เชิร์ช
จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 51 ราย ซึ่งถือเป็นการสังหารหมู่ครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์นิวซีแลนด์ยามปลอดศึกสงคราม
กฎหมายอาวุธปืนของนิวซีแลนด์ฉบับปัจจุบันอนุญาตให้ประชาชนครอบครองปืนแบบ Category-A ซึ่งจำกัดให้ปืนกึ่งอัตโนมัติยิงได้ไม่เกิน 7 นัด
ขณะที่กฎหมายใหม่สั่งห้ามการจำหน่ายและใช้อาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติเกือบทุกชนิด รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถดัดแปลงปืนธรรมดาให้กลายเป็นปืนกึ่งอัตโนมัติ, แมกกาซีนบางรุ่น และปืนสั้นบางประเภท
ตำรวจคาดว่าจะมีปืนกึ่งอัตโนมัติแบบทหารกลายเป็นอาวุธต้องห้ามตามกฎหมายใหม่ราวๆ 14,300 กระบอก ขณะที่รัฐบาลกีวียอมรับว่าเป็นการยากที่จะระบุตัวเลขที่แท้จริง
จนถึงขณะนี้มีเอกชนนำปืนมาส่งมอบให้แก่ทางการแล้วเกือบ 700 กระบอกก่อนที่รัฐจะเริ่มโครงการรับซื้อคืน และยังมีเจ้าของปืนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วเกือบ 5,000 ราย
โรเบิร์ตสัน ระบุว่า การประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่าจะชัดเจนขึ้นหลังดำเนินโครงการไปได้สักระยะหนึ่ง และรัฐบาลอาจอนุมัติงบเพิ่มถ้ามีความจำเป็น
ผลสำรวจโดย Small Arms Survey พบว่า นิวซีแลนด์มีปืนอยู่ราวๆ 1.5 ล้านกระบอกจากจำนวนประชากรไม่ถึง 5 ล้านคน ซึ่งทำให้ประเทศแห่งนี้มีสัดส่วนพลเรือนถือครองอาวุธสูงเป็นอันดับที่ 17 ของโลก
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์