เอ๋ อัจฉรา เล่าถึงช่วงชีวิตคู่ 13 ปี กับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตสามี พร้อมเผยเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจขอใช้ชีวิตในแบบเพลย์บอย
เอ๋ อัจฉรา ย้อนชีวิตคู่ 13 ปี กับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตสามี เปิดเผยเหตุผลขอเป็นเพลย์บอย
เอ๋ อัจฉรา ทองเทพ เล่าถึงช่วงชีวิตคู่ 13 ปี กับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตสามี พร้อมเผยเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจขอใช้ชีวิตในแบบเพลย์บอย
ช่วงเวลาที่เส้นทางในวงการบันเทิงกำลังโลดแล่นไปได้ไกล เอ๋ อัจฉรา ตัดสินใจร่วมชีวิตกับชาดา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของครอบครัว แต่เอ๋ก็คิดว่า การตัดสินใจครั้งนั้นถูกที่สุดในชีวิต
“มันเป็นอะไรที่คิดว่า ตัดสินใจถูกที่สุด”
“ทั้งๆ ที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย อดีตสามีตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนักการเมืองระดับประเทศ ภาพลักษณ์จะเป็นนักเลง คำว่านักเลงของคนต่างจังหวัดค่อนข้างจะเป็นลบ เป็นเจ้าพ่อ แต่คนที่มองแบบนั้นไม่ได้สัมผัสแบบที่เราได้สัมผัส ไม่งั้นเราไม่เลือก เพราะท่านก็เป็นพ่อหม้าย มีลูกติด แต่ก็คุยกับแม่ว่าขอเลือกเอง เพราะสิ่งที่ได้สัมผัส มันว่าใช่”
เอ๋ อัจฉรา ทองเทพ
ก่อนเล่าเรื่องอดีตสามีไว้ว่า เขามีความรับผิดชอบ เป็นผู้ใหญ่ น่ารักมาก สามารถเตือนเราได้ สอนเราได้ ดูแลเราได้ดีที่สุด เป็นผู้ชายที่ไนซ์มาก ถ้าได้สัมผัส เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ต้องสัมผัส ท่านเป็นสุภาพบุรุษมาก ดูก้าวร้าว ดุดัน แต่จริงๆ อ่อนโยนมาก คนบอกอย่าไปเป็นเมียเจ้าพ่อ เป็นเมียนักเลง ไปไหนความปลอดภัยไม่มีนะ คนก็เป็นห่วง ในมุมเรา เขาเป็นผู้ชายไนซ์มาก รับผิดชอบ และอ่อนโยนมากๆ
กับเสียงของคนรอบข้างนั้น เอ๋ก็ว่า เราก็ 28-29 แล้วนะตอนนั้น คนถามว่าใช่แล้วเหรอ ก็บอกว่าพร้อม และเลือกถูกที่สุด ณ เวลานั้น จนเวลานี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกที่สุด แม้วันนี้ที่เราต้องแยกทางกันอยู่ หย่าร้าง แต่เราก็ยังดูแลกัน ท่านดูแลพี่ในทุกๆ อย่าง รับผิดชอบสูงมากๆ เช่นเคย แค่ความอบอุ่น ความใกล้ชิด มีช่องว่างเยอะขึ้น
ถามถึงชีวิตแต่งงานที่หลายคนมองว่าเป็นนกน้อยในกรงทองหรือไม่ เอ๋ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ชีวิตแต่งงานของเธอครบทุกรสชาติ
นางเอกดังยุค 90 บอกว่า ไปอยู่อุทัยธานีก็ต้องทำงาน ดูแลแพลนท์ปูน งานรับเหมา ทำหน้าที่แม่บ้าน ท่านทำการเมืองท้องถิ่น ตอนนั้นท้องถิ่นยิ่งใหญ่มาก งานแม่บ้านพี่ก็รับผิดชอบ
“จริงๆ แล้วใครได้รู้จักคุณชาดาแล้วรักทุกคน วันก่อน 30 ปีที่แล้ว หรือวันนี้ก็ตาม ลองไปอุทัยธานีดูจะรู้ว่าคนรักคุณชาดามาก รักครอบครัวไทยเศรษฐ์มาก ซึ่งใครได้ไปสัมผัส ท่านมีแต่ให้ ท่านสมถะมาก”
“เมื่อก่อนไม่ได้แต่งตัวขนาดนี้ ทุกวันนี้สิ่งที่ท่านอยากทำ ท่านอยากจะหลุดโลก ไม่ว่าจะแต่งตัวหรืออะไร เมื่อก่อนเป็นคนสมาร์ท ทุกอย่างเนี้ยบ ไม่ได้เน้นของแพง จะเซฟ เอาเงินไปดูแลชาวบ้านมากกว่า คนรักท่าน ไปเดินตลาด 2 คนก็ปลอดภัยดี ในอีกมุมเรา เราเรียบง่าย ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลาด ริมน้ำสะแกกรัง มันอบอุ่น ด้วยความที่ท่านตรง ไม่ค่อยยอมใคร”
“อยู่กับท่าน 13 ปี เข้าปีที่ 14 สนุกกับการใช้ชีวิต พี่คิดว่าพี่คุ้มมาก ครั้งนึงในชีวิต ตอนนี้พี่อายุ 50 กว่าแล้ว ช่วงชีวิตที่คิดว่าคุ้มที่สุดคือการได้ใช้ชีวิตกับคุณชาดา มันครบทุกรูปแบบ ทั้งความสุข ความทุกข์ ความเหนื่อย ความสบาย มันอยู่ตรงนั้น”
“ความสุขคือเขาดูแลเราดี เป็นที่รักของทุกคน ไปไหนก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากชาวบ้าน ความทุกข์ในตอนนั้นมันเหงา เพราะว่าเราไม่มีเพื่อน หรือแม้แต่ญาติ ทุกอย่างเราต้องไปสร้างใหม่ แต่คนอุทัยฯ ต้อนรับเราอย่างดี ทุกข์อีกอย่างคือต้องเป็นภาระท่าน ในตอนที่อยู่กับท่านพี่ป่วยเป็นโรค SLE แล้วนะ ตอนนั้นเกือบป่วยติดเตียง ท่านต้องช่วงพยุง ช่วยดูแล ต้องอุ้ม ความทุกข์ในตอนนั้นคือเราต้องมาเป็นภาระท่าน ในขณะที่ท่านดูแลเราดี เหมือนทำบาป เราเอาภาระไปให้เขา แต่ท่านก็พาพี่ไปรักษาในกรุงเทพฯ จนอาการดีขึ้น จนหาย”
13 ปี ชีวิตรัก เอ๋ยืนยันว่าไม่เคยทะเลาะกัน แต่ด้วยโชคชะตาทำให้ต้องตัดสินใจแยกทาง
เอ๋เปิดสาเหตุการเลิกราว่า เป็นเรื่องของงาน เป็นการผิดพลาดอะไรบางอย่าง มีคดีความ บ้านเราก็เป็นครอบครัวคนบ้านนอก มีหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวโครม แม่ก็ไม่สบายใจ ช่วงที่ท่านมีคดีต้องติดอยู่คุก ในระหว่างคดีคุณแม่ก็บอกให้เลิกเถอะ กลับมาอยู่บ้านเถอะลูก เป็นจุดพลิกผัน แต่สุดท้ายแล้วท่านไม่ได้ผิด ศาลยกฟ้องในที่สุด
“ถ้าพี่เลือกได้ ไม่อยากมีครอบครัวที่ต้องแยกกันอยู่ ตอนที่อยู่ด้วยกันเราไม่ได้ทะเลาะกันเลย แต่เราต้องมาแยกกันอยู่เพราะอะไรก็ไม่รู้ แล้วแม่เราก็ห่วง และหลายๆ เหตุผลในตอนนั้น มีปัญหารุมเร้าเข้ามา เราก็ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างที่เราต้องอยู่กับลูกให้ได้ อยู่กับแม่ให้ได้ ถามว่าตอนนั้นห่วงคุณชาดาไหม บอกตรงๆ ว่าไม่ห่วงเลย ชีวิตท่านโลดโผนมาตลอด ท่านคือนักรบ ท่านคือนักสู้ ชีวิตท่านเจอมาหมดแล้ว”
“เคยถามว่า อยากอยู่ให้สบายก็สบายได้ ท่านบอกว่าผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ที่สุดของชีวิตก็ไม่ได้ครอบครอง ทำอะไรได้ต้องทำ และก็สอนพี่และลูกว่าการเป็นผู้ให้มันยิ่งใหญ่”
เลิกรากันแล้ว ชาดาก็มาขอเป็นเพลย์บอย
เอ๋เล่าว่า ก็ตกลงกันว่าขอเลี้ยงลูก ท่านก็บอกว่า ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ขอเป็นเพลย์บอย และท่านก็มีจริงๆ และท่านก็มีลูกใหม่ด้วย มีน้องๆ มาอีก 2 คน ก็คนละแม่ เป็น 3 เจน มีของแม่ใหญ่ ตน และก็มีเจน 3
“ทุกวันนี้ดูแล ถ้าโทรไปก็ให้กำลังใจ ค่ายาต่างๆ แต่ตอนนี้ท่านงานเยอะ เพราะลูกสาวมานั่งรัฐมนตรี ก็ต้องคอยประคอง เป็นเทรนเนอร์ โชคดีที่น้องๆ ลูกแม่ใหญ่เชื้อคุณพ่อแรง เป็นนักพัฒนา เขาเต็มที่กับการช่วยเหลือชาวบ้าน ส่วนลูกเรายังเรียนอยู่ เขาบอกอยากอยู่นิวซีแลนด์ ก็มาบอกว่าอยากให้แม่ไปอยู่ด้วย”
ที่มา: www.matichon.co.th
บทความที่น่าสนใจ
- ชาดา ไทยเศรษฐ์ ชี้ไม่ใช่เจ้าพ่อ ส่งน้องสาว นั่งเก้าอี้ รมช. แทน
- ชาดา อัดกระบวนการคว่ำรธน. ยันไร้ปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล
- ชาดา ซัดฝ่ายค้าน ยุคโควิดระบาดให้คิดบวก ถามถ้า'นายกฯลาออก บ้านเมืองจะวุ่นแค่ไหน?'
- เอ๋ อัจฉรา ย้อนชีวิตคู่ 13 ปี กับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตสามี เปิดเผยเหตุผลขอเป็นเพลย์บอย
- เส้นทางชีวิต ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่ไม่ธรรมดา จากพ่อค้าเนื้อสู่เจ้าพ่อสะแกกรัง