สรุปให้หมดแล้ว! นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้เมื่อไหร่-ใช้ยังไง-แล้วใครได้บ้าง ?
สรุปให้หมดแล้ว! นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้เมื่อไหร่-ใช้ยังไง-แล้วใครได้บ้าง ?
หลังจาก ประเทศไทยได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของไทย และอยู่ระหว่างจัดเตรียมตั้งรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และทีมงานชุดใหม่ โดยหนึ่งในไฮไลต์ที่ถือเป็นนโยบายเด่นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้คือ แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อคน ทำให้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 ทันทีที่เลือกนายเศรษฐา เป็นนายกฯ แล้ว คนไทยต่างถามหาว่า จะโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท วันไหน และใช้ได้เมื่อไหร่ ใช้ยังไง ?
มาทำความรู้จักเงินดิจิทัลกันก่อนว่าคืออะไร? เงินดิจิทัล หรือ Digital Wallet เป็นเงินที่ไม่ได้ใช้จ่ายด้วยเงินสด หรือธนบัตร แต่จะใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับ ทำให้ไม่ต้องกดเงินสดออกมาใช้ มีความสะดวกสบาย
ส่วน เงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้หาเสียงด้วยนโยบายนี้เสมอมา หวังว่าจะกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชน ให้มีเงินเข้าระบบหมุนเวียนเศรษฐกิจ และจะทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันที่จะจัดเตรียมขึ้นมา
เงื่อนไขเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีคุณสมบัติอย่างไร ใครได้บ้าง ใช้ยังไงและเมื่อไหร่ สรุปได้ดังนี้
-คุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท : คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีบัตรประชาชน เลข 13 หลัก ประมาณ 50 ล้านคน รวมถึงผู้ได้ที่ได้รับสวัสดิการ เช่น ผู้พิการ คนชรา
-เงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาท : ใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร นับจากที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ สามารถซื้อสินค้าและอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค แต่ยกเว้นใช้หนี้ การพนัน ยาเสพติด อบายมุขต่างๆ และสินค้าออนไลน์
-ระยะเวลาการใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาท : ใช้จ่ายเงินดิจิทัลให้หมดภายใน 6 เดือน นับจากวันเริ่มต้น คาดว่าเริ่มอย่างเร็วที่สุดเดือนเมษายน 2567
-ใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาทได้ยังไง? : ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันหรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ไม่สามารถกดถอนเป็นเงินสดได้
แม้พรรคเพื่อไทย จะยืนยันว่า การใช้จ่ายเงินดิจิทัลนี้ไม่มีความเสี่ยง มีความปลอดภัยสูง และไม่ใช่สกุลเงินใหม่ก็ตาม แต่หน่วยงานกำกับอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีความเห็นและจะสามารถนำมาใช้จริงได้แค่ไหน สุดท้ายแล้วลักษณะจะเป็นอย่างไร จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ยังคงต้องรอความชัดเจนต่อไป
ที่มา : https://www.dailynews.co.th/