ทรัพย์สินส่วนพระองค์ หรือ "มรดก" ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะถูกส่งต่อไปยังพระเจ้าชาร์ลส ที่ 3
จากกรณีที่พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สวรรคต เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.ย. 65 เวลา 00.32 น. ตามเวลาประเทศไทยนั้น โดยตามลำดับ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส พระราชโอรส ทรงเลื่อนสถานะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร โดยใช้พระนามาภิไธย "พระเจ้าชาร์ลสที่ 3"
ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์ หรือ "มรดก" ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะถูกส่งต่อไปยังพระเจ้าชาร์ลส ที่ 3 โดยเว็บไซต์ Fotune รายงานว่า ควีนอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีทรัพย์สินส่วนพระองค์ราว 500 ล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยราว 1.81 หมื่นล้านบาท) ระหว่างการครองราชกว่า 70 ปี โดยทรัพย์สินส่วนนี้จะถูกส่งต่อไปยังพระเจ้าชาร์ลสที่ 3 หลังขึ้นครองราชสมบัติ โดยทรัพย์สินส่วนพระองค์กว่า 500 ล้านดอลลาร์นั้น มาจากการลงทุนในงานศิลปะ เครื่องประดับ การถือครองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงพระราชวังซานดริงแฮม และพระตำหนักบัลมอรัล ในสกอตแลนด์
ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ภายใต้ The Royal Firm มีมูลค่านับ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น (คิดเป็นเงินไทยราว 1.01 ล้านล้านบาท) มาจากการถือครองอสังหาริมทรัพย์ เช่น พระราชวังบัคกิงแฮม มูลค่า 4.9 พันล้านดอลลาร์, พระราชวังเคนซิงตัน มูลค่า 630 ล้านดอลลาร์, The Crown Estate มูลค่า 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์, The Duchy of Cornwall มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์, The Duchy of Lancaster มูลค่า 748 ล้านดอลลาร์ และ The Crown Estate of Scotland มูลค่า 592 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่มรดกที่จะตกทอดไปยังผู้สืบทอดราชสันตติวงศ์
นอกจากนี้ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 และราชวงศ์ ได้รับเงินจากรัฐบาลผ่านกองทุนผู้เสียภาษี "Sovereign Grant" ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าจอร์จที่ 3 ที่ทรงพระราชทานรายได้ของพระองค์ให้กับรัฐสภาเพื่อรับเงินรายปีจากรัฐบาลให้กับสมาชิกราชวงศ์ในอนาคต โดยในปี 2021-2022 กองทุนฯ มีจำนวน 86 ล้านดอลลาร์ เงินทุนเหล่านี้ถูกจัดสรรให้เป็นค่าเดินทาง ค่าบำรุงทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงค่าบำรุงรักษาพระราชวังบัคกิงแฮม ที่ประทับของพระองค์
ดังนั้น หากเทียบระหว่างทรัพย์สินส่วนพระองค์ กับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พบว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ไม่ได้มีทรัพย์สินมากกว่าที่คิด