คดีน้องชมพู่ออกหมายจับลุงพล เปิดหลักฐานเด็ดมัดตัว 3 ข้อหา ดังนี้
คดีน้องชมพู่ออกหมายจับลุงพล เปิดหลักฐานเด็ดมัดตัว 3 ข้อหา
จากกรณีการ เสียชีวิตปริศนา ของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้าน ในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ก่อนจะพบเป็นศพเปลือยอยู่ในป่าบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านราว 2 กม. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการลงพื้นที่เพื่อเก็บหลักฐาน รวมทั้งสอบปากคำพยานจำนวนมาก แต่ยังไม่มีหลักฐานจะดำเนินคดีใครได้ ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมากว่า 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แถลงชี้แจง 8 เหตุผล ที่ยืนยันได้ว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไป จุดที่พบศพ บนภูเหล็กไฟ ได้ด้วยตนเอง โดยเชื่อว่า มีผู้พาขึ้นไป และทำให้ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ทั้งนี้ ทีมสืบสวนสอบสวน สามารถประมวลพฤติการณ์ แห่งคดีระบุว่า ในวันที่ น้องชมพู่ หายไป มี “น้องสะดิ้ง” พี่สาววัย 14 ปี เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อและแม่ของเด็กออกไปทำงานนอกบ้าน
จากการสอบถามพยานทั่วทั้งหมู่บ้านไม่มีใครพบเห็น ชาวบ้านช่วยกันออกค้นหา และเชื่อว่าเด็กหญิงอายุเพียง 3 ขวบ ไม่มีทางเดินหลงป่าไปไหนได้ไกล บริเวณดังกล่าวสามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุพบศพในอีกหลายวันต่อมาได้ 5 เส้นทาง แต่ละเส้นทางไม่มีใครพบเห็นน้องชมพู่เดินผ่าน มีเพียงเส้นทางเดียวที่ผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน พยานบุคคล 2 คนให้การเห็นนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงเขยของน้องชมพู่ เดินออกมาช่วงเวลา 09.00 น.เศษ
ส่วนการสอบสวนอุปนิสัยของน้องชมพู่ หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้ม จะร้องโวยวาย แต่ในขณะที่หายตัวไป พยานที่อยู่บริเวณนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง จึงเชื่อว่าบุคคลที่พาตัวไปต้องเป็นบุคคลรู้จักคุ้นเคย สามารถเข้าถึงตัวได้ ประกอบด้วยบุคคล 10 คน
แต่จากการตรวจสอบพยานบุคคลและพยานหลักฐานข้อมูลอื่น ในห้วงเกิดเหตุไม่มีบุคคลที่น้องชมพู่ไว้ใจผู้ใดอยู่ใกล้เคียง รวมถึงเส้นทางเข้าไปยังเขาภูเหล็กไฟ เกือบทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ให้อย่างชัดเจน นอกจากนายไชย์พล ที่ไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีพยานบุคคลระบุพบอยู่ในเส้นทางที่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้
หลังจากเด็กหายตัวไป นายไชย์พล ขับรถไปรับพระวัดภูผาแอก เพื่อไปส่งยังสถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด และได้พูดคุยกับพระที่เป็นพยานในเวลาต่อมาว่า “หลานหายตัวไป” แต่ข้อเท็จจริงยังไม่มีใครในละแวกนั้น แจ้งแก่นายไชย์พล ถึงการหายตัวไปของน้องชมพู่
ขณะเดียวกัน เมื่อสอบสวนถิ่นที่อยู่ห้วงเวลา 14.30-16.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 นายไชย์พลไม่สามารถยืนยันได้ แต่กลับปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า ได้พบกับพยาน 2 ปาก บริเวณร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟ เป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้าน ในลักษณะท่าทางมีพิรุธ
ผลการตรวจศพของแพทย์นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาตายของเด็ก ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เด็กถูกทิ้งไว้จุดแรกบริเวณท้ายหมู่บ้านก่อนทางขึ้นภูเหล็กไฟยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปบนจุดพบศพ สอดคล้องกับผลตรวจของนักโภชนาการระบุสภาพร่างกายของน้องชมพู่ หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงย่อมถึงแก่ความตายได้โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของสำนักพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหารได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือเส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชย์พล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ
ตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับการผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ที่สรุปว่านายไชย์พลมีพิรุธในการตอบคำถาม
พยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน ผบ.ตร. บ่งชี้ได้ว่า นายไชย์พล เท่านั้น จะนำตัวน้องชมพู่ไป และมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระหาพยานบุคคลอ้างอิงแล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึก ที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็น “เรื่องการฆาตกรรม” ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนตร์ดำของเขมร หวังเบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ นายไชย์พล ใน 3 ข้อหา คือ
“พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป”
ที่มา: www.thairath.co.th