ภายหลัง ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตว่า เขาและสุภาพสตรีหลายเลข 1 ติดเชื้อโควิด-19 จนเป็นข่าวที่สร้างความตกใจ
ภายหลัง ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตว่า เขาและสุภาพสตรีหลายเลข 1 ติดเชื้อโควิด-19 จนเป็นข่าวที่สร้างความตกใจ ในขณะเดียวกันก็สร้างความสับสนด้วย หลังจากนั้นวันต่อมาก็ถูกนำตัวส่งศูนย์การแพทย์ วอลเตอร์ รีด ของกองทัพสหรัฐฯ แพทย์ประจำตัวประธานาธิบดี เผย การรักษาเป็นที่น่าพอใจ นักข่าวถามทีมแพทย์ว่า มีการให้ออกซิเจนกับทรัมป์หรือไม่ เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าอาการหนักขนาดไหน ซึ่งทีมแพทย์ยืนยันสองสามครั้งว่า ไม่มีการให้ออกซิเจน
แต่ก็มีข้อมูลอีกชุดที่มีความขัดกัน มาร์ค มีโดว์ส หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวให้ข่าวกับนิวยอร์คไทม์ว่า อาการทรัมป์น่าวิตก ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลงก่อนนำตัวส่งศูนย์แพทย์ ตอนนี้คนสับสนมากว่า ตกลงอาการของผู้นำเป็นอย่างไร
วันนี้มีข้อมูลอีกชุดจากทีมแพทย์ที่ออกมา มี 2 ประเด็นที่สำคัญ ประเด็นแรก แพทย์บอกว่า เมื่อวานนี้ระดับออกซิเจนในร่างกายของทรัมป์ลดต่ำลงถึงสองครั้ง (ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นสัญญานของปอดมีปัญหา) และก็มีไข้ด้วย อย่างที่สองคือ ยาที่ใช้รักษาทรัมป์ มีการให้ยาทั้งหมด 3 ตัว ตัวสุดท้ายคือตัวที่ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือหนัก ทั้งหมดทั้งปวงที่แพทย์แถลงก็อาจจะพออนุมานได้ว่า ถ้าอย่างนั้นอาการของทรัมป์ก็จัดอยู่ในขั้นหนัก แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้คนสับสน นั่นคือ อยู่ ๆ ทรัมป์ก็ออกมาปรากฏตัว นั่งรถออกมาจากศูนย์แพทย์เพื่อพบปะประชาชน
เย็นวานนี้ (4 ต.ค.63) ตามเวลาสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คน ด้วยการนั่งรถยนต์ออกมาพบปะประชาชนที่ยืนให้การสนับสนุนเขาที่หน้าศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเทอร์ รีด สถานที่ที่เขาเข้ารับการรักษาตัวหลังพบติดเชื้อโควิด-19 นี่เป็นเพียงวันที่ 3 หลังทรัมป์พบว่าตัวเองติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งระยะเวลากักตัวตามมาตรฐานอยู่ที่ระหว่าง 10-14 วัน หมายความว่า ทรัมป์ออกมาในระยะเวลาที่เสี่ยงมาก ภายในรถยนต์เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตและสูท กับหน้ากากอนามัย ปรบมือและโบกมือให้กับประชาชน ขณะที่คนขับรถและคนติดตามสวมใส่ชุดพลาสติก และหน้ากากอนามัยป้องกันไวรัสอย่างแน่นหนา
การออกมาพบปะประชาชนของทรัมป์จึงถูกวิจารณ์หนัก ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์บอกว่า ทำแบบนี้สุ่มเสี่ยงและขาดสติ เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เขาควรจะกักตัวมากที่สุด บางคนบอกว่า ทรัมป์ทำเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง ต้องการเรียกกระแสเพราะเหลืออีกเพียง 30 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง ในช่วงแรก ทำเนียบขาวแถลงการณ์ว่า ทรัมป์มีอาการไม่รุนแรง และแพทย์เองยังบอกว่าทรัมป์อาจจะออกโรงพยาบาลได้อย่างเร็วที่สุดคือวันพรุ่งนี้ แต่ต่อมามีการเปิดเผยวิธีการรักษาทรัมป์ ที่สะท้อนว่าจริง ๆ แล้วทรัมป์อาจมีอาการหนักกว่าที่ทำเนียบขาวรายงาน ยังคงเป็นสิ่งที่สังคมสับสนว่า ตกลงทรัมป์มีอาการยังไงกันแน่?
ครั้งนี้ ทีมแพทย์ใช้วิธีการรักษาทรัมป์ด้วยวิธีที่ไม่เคยใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 คนไหนมาก่อน วันแรกที่ทรัมป์ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด ซึ่งคือวันศุกร์ที่ผ่านมา แพทย์ได้ให้ยาปฏิชีวนะชนิด Remdesivir กับทรัมป์ ยาตัวนี้ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบกับมนุษย์เท่านั้น เป็นยาที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น
ยาปฏิชีวนะตัวนี้ เป็นยาที่ทั้งสหรัฐฯ และองค์การอนามัยโลกคาดหวังว่า จะนำมาใช้เป็นยาบำบัดโควิด-19 ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้สู้กับไวรัสได้
ที่น่าสังเกตุคือ เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการรักษา แพทย์ได้ให้ยาสเตียรอยด์ชนิดเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) กับประธานาธิบดีทรัมป์ แพทย์และผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การให้ยาตัวนี้เป็นเรื่องผิดปกติ Unusual เพราะยาตัวนี้อย่างแรกคือ ยังอยู่ในขั้นทดสอบเช่นเดียวกัน และอย่างที่สองถ้ามีการใช้ จะให้กับคนที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการในช่วงวันที่ 7-10 แต่สำหรับกรณีของทรัมป์ เขาเพิ่งถูกพบว่าติดเชื้อเป็นเวลาเพียง 3 วัน ทำไมหมอให้ยานี้จึงเป็นคำถามตัวโต ๆ
มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมแพทย์ด้วยว่า ต้องให้ออกซิเจนกับทรัมป์ หลังระดับออกซิเจนในร่างกายเขาต่ำกว่าปกติถึง 2 ครั้ง ซึ่งโดยส่วนมาก ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการออกซิเจน คือผู้ป่วยที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เพราะไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติ หมอจึงจำเป็นต้องให้ออกซิเจนเพิ่ม เพื่อให้ร่างกายยังทำงานได้ตามปกติ การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยยาปฏิชีวนะ ยาสเตียรอยด์ และการให้ออกซิเจนพร้อมๆ กันแบบนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก แพทย์และผู้เชี่ยวชาญข้างนอกต่างแสดงความกังวลว่า ฤทธิ์ของยาแต่ละตัวอาจตีกันได้ โดยเฉพาะกับทรัมป์ที่มีอายุถึง 74 ปี และมีอาการทางหัวใจอ่อนๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจากไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม การประโคมยาตัวต่างๆ กับทรัมป์ในเวลาอันเร่งรัดแบบนี้ ยังไม่สามารถบอกได้จริงๆ ว่าทรัมป์มีอาการรุนแรง น่าเป็นห่วง หรือจริง ๆ แล้ว ทีมแพทย์ต้องการรักษาทรัมป์ ผู้นำประเทศ ที่กำลังจะลงเลือกตั้งในอีกเพียง 30 วัน ด้วยวิธีการที่ใหม่ และเร่งรัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้าน ทรัมป์ ได้โพสต์วีดีโอบนทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ กล่าวขอบคุณทีมแพทย์ที่รักษาเขาอย่างดีเยี่ยม โดยบอกว่านี่คือการเรียนรู้เกี่ยวกับโควิดที่ดีสุดของเขา ในวีดีโอเขาพยายามจะแสดงออกว่าเขาแข็งแรงดี และพร้อมจะออกไปพบปะประชาชน ซึ่งหลังจากเขาโพสต์วีดีโอนี้ เขาก็ได้ออกไปพบปะประชาชนที่ภายนอกโรงพยาบาลจริงๆ
หลังจากทรัมป์ และเมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งถูกพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ตอนนี้มีคนที่ได้ใกล้ชิดกับทรัมป์อย่างน้อย 11 คน ถูกพบว่าติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน ใน11 คนนี้มีสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน 3 คน ผู้ช่วยของทรัมป์ ไปจนถึงผู้จัดการแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ ด้วยหลายคนมีความสำคัญต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 30 วันข้างหน้า
ตอนนี้คาดการณ์กันว่า งานเสนอชื่อเอมี โคนีย์ บาร์เร็ตเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ถูกจัดขึ้นที่โรส การ์เดน ทำเนียบขาว จะกลายเป็นอีเวนท์ที่เป็น Super Spreader หรือจุดเริ่มต้นของการระบาดเป็นวงกว้าง เพราะ 7 ใน 11 คนที่ติดเชื้อโควิด ล้วนได้ไปเข้าร่วมงานในวันนั้น มากไปกว่านั้นคือ คนที่ติดเชื้อหลายคนไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย พวกเขานั่งท่ามกลางคนอื่นๆ และมีการกอด จับมือทักทายกันตลอดทั้งงาน จึงคาดการณ์ว่า น่าจะมีคนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากงานในวันนั้น
ขณะที่เอมี โคนีย์ บาร์เร็ต คนที่ทรัมป์เสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดนั้น เธอเคยติดโควิดมาก่อนหน้านี้ และได้รับการรักษาจนหายแล้ว
เผย “ทรัมป์” ป่วยโควิด-19 อาจมีอาการหนักกว่าทำเนียบขาวแถลง
เหลือเวลาอีก 30 วันจะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ว่าอาการของทรัมป์จะออกมาเป็นเช่นไร ล้วนมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ หากเขาหายดีในเวลาเพียงไม่กี่วัน และทันก่อนวันเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ว่า เขาจะยิ่งหยิบกรณีของเขาเป็นตัวอย่างให้ประชาชนดูว่า โควิดไม่มีอะไร เดี๋ยวก็หายไปเอง แต่ถ้าเขาหายไม่ทันก่อนวันเลือกตั้ง ทรัมป์สามารถเลื่อนวันเลือกตั้งได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ได้ ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการเลื่อนวันเลือกตั้ง แต่เป็นสภาคองเกรส ซึ่งรวมถึงสภาผู้แทนฯ และสภาวุฒิสภาฯ มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเลื่อนวันเลือกตั้ง จึงมีความเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้เดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทน แต่ถึงจะสภาคองเกรสจะเห็นชอบให้เลื่อนวันเลือกตั้งจริง การกำหนดครบวาระของประะธานาธิบดีถูกระบุไว้ชัดเจน นั่นคือวันที่ 20 มกราคมในทุกๆ 4 ปี หมายความว่า ถึงเลื่อนเลือกตั้งออกไปได้ ก็เลื่อนออกไปได้ไม่นาน เพราะยังไงก็ตามสหรัฐฯ ต้องมีประธานาธิบดีคนใหม่ภายในวันที่ 20 มกราคม
แต่ถ้าการเลือกตั้งยังคงถูกจัดขึ้นตามกำหนดการเดิม และทรัมป์ก็ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง แต่เขายังป่วย ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก็จะเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งคือไมค์ เพนซ์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการแทน จนกว่าทรัมป์จะหายดีเป็นปกติ
ส่วนในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ ทรัมป์เสียชีวิตก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเมืองสหรัฐฯ
ปกติแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองในการสรรหาผู้ท้าชิงคนใหม่
แต่ในกรณีที่ใกล้การเลือกตั้งแบบนี้ และมีคนหลายล้านลงคะแนนเสียงไปแล้ว จึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ มีอยู่ 2 ทางคือ เลื่อนการเลือกตั้ง โดยรีพับลิกันต้องรีบหาผู้ท้าชิงคนใหม่โดยเร็วที่สุด และให้ประชาชนลงคะแนนใหม่ หรืออีกวิธีคือให้รองประธานาธิบดี อย่างไมค์ เพนซ์ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน และคะแนนที่ลงให้รีพับลิกันไปแล้ว ก็จะถือว่าเป็นการลงให้ไมค์ เพนซ์
เพราะในความเป็นจริง เวลาชาวอเมริกันลงคะแนนเสียง ก็จะไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวแทนผู้ท้าชิงประธานาธิบดีโดยตรง แต่เป็นการลงคะแนนให้คณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐ และคณะผู้เลือกตั้งก็จะไปเลือกประธานาธิบดีอีกที
ดังนั้นผู้ท้าชิงที่ชนะจะต้องมีคณะผู้เลือกตั้งที่พร้อมลงเสียงให้มากกว่าครึ่ง หรือ 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง
ที่มา PPTV