นายกรณ์ ระบุว่า รวมสามกลุ่มนี้ 24 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ยากลำบากได้รับผลกระทบจากโควิดแต่แรก
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 63 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊ก คำนวณว่า จะมีผู้เข้าเกณฑ์ดังกล่าวถึง 24 ล้านคน โดยมาจาก
1 ผู้มี อาชีพอิสระ 12 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำ(สมาชิกประกันสังคมตามมาตรา 39 และ 40 จำนวน 5 ล้านคน และอิสระอื่นๆ 7 ล้านคน) พ่อค้าแม่ขายรายเล็ก หาบเร่แผงลอย เจ้าของธุรกิจ SME ขนาดเล็ก-กลาง ที่ลำบากหมุนเงินไม่ไหว
2 เกษตรกร 4 ล้านคนที่ไม่อยู่ในโครงการประกันรายได้ของรัฐบาล ผู้ผลิตอาหาร ข้าว พืช ผัก ผลไม้เข้าเมือง และส่งออก จ่อด้วยภาวะภัยแล้งที่กำลังจะโถมเข้ามาซ้ำเติม
3 ลูกจ้างรายได้น้อย หรือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ชำระภาษีเงินได้ 8 ล้านคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เดือดร้อนหนักมากตอนนี้
นายกรณ์ ระบุว่า รวมสามกลุ่มนี้ 24 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ยากลำบากได้รับผลกระทบจากโควิดแต่แรก และวันนี้หากินไม่ได้ มีรายได้ลดลงจากเดิม ทั้งที่รายได้เดิมก็ไม่เยอะอยู่แล้ว ถือเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องช่วยเหลือเร่งด่วน รอช้ากว่านี้จะยิ่งเจ็บลึก ซึ่งวงเงินที่ต้องใช้ทั้งหมดคือ 120,000 ล้านบาทต่อเดือน หากคำนวณสามเดือนคือ 360,000 ล้าน หรือประมาณ 21% ของ GDP ซึ่งเมื่อเทียบกับ หลายประเทศที่มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 10%+ ของ GDP ทั้งๆ ที่หนี้สาธารณะของเขามีสัดส่วนต่อจีดีพีที่สูงกว่าเรามาก
สำหรับเงินที่จะต้องนำมาใช้ในส่วนนี้ เขาเสนอว่าจะมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ
1 ปรับโอนงบประมาณปี 63 โดยไม่ใช่แค่ขอให้แต่ละกระทรวงลดแล้วช่วยแบ่งมา ต้องออกกฎหมายเร่งด่วนให้ชัดเจน
2 ออก พรกเงินกู้ ในกรณีที่จะต้องมีแผนชัดว่าจะช่วยเหลือแบบไหน อย่างไร
3 ปรับ พรบ งบประมาณปี 64 ที่ครม อนุมัติขั้นต้นไปเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา (สามารถใช้ได้ต้นเดือนตุลาคม) ให้ตอบสนองต่อภาวะวิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด
นายกรณ์ ระบุด้วยว่า ทีมกล้าคิดไปถึงกรณีว่า รัฐบาลควรเพิ่ม “เบี้ยยังชีพ” ให้แก่กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดในสังคม อย่างเช่น ผู้สูงอายุ, แม่ลูกอ่อน และ คนพิการด้วย เพราะกลุ่มนี้ปกติต้องพึ่งพาเงินสมทบจากสมาชิกในครอบครัวที่ทำมาหากิน ตอนนี้คนวัยทำงานหาเลี้ยงครอบครัวลำบากกันหมด คนกลุ่มนี้จึงยิ่งต้องได้รับการดูแลที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ที่มา WorkpointNews