นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า ยังไม่ฟันธงถึงการตั้งเป้ากวาดเก้าอี้ สสในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้จำนวนเท่าไหร่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า ยังไม่ฟันธงถึงการตั้งเป้ากวาดเก้าอี้ ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้จำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยขอเวลาดูช่วงเปิดรับสมัครก่อนว่าจะมีพรรคการเมือง และผู้สมัครจำนวนเท่าไหร่ เพราะเท่าที่ฟังดูแม้จะมีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนแล้ว 90 กว่าพรรค แต่พรรคที่สามารถส่งผู้สมัครได้จำนวนมาก ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น เนื่องจากกฎหมายมีข้อกำหนดมากมาย
อีกทั้งหลายพรรคประกาศชัดว่าจะไม่ส่งผู้สมัครครบทุกเขต แต่หากคิดตามตัวเลขเดิมที่พรรคประชาธิปัตย์เคยได้จำนวน 160 ที่นั่ง ด้วยการนำคะแนนดิบที่พรรคเคยได้ 9.8 ล้านเสียงมาเป็นฐาน และคำนวณตามระบบสัดส่วนปันส่วนผสมที่รัฐธรรมนูญกำหนด จะออกมาที่ 140 ที่นั่ง แต่ครั้งนี้มีจำนวนคู่แข่งเพิ่มขึ้นมากก็ต้องดูว่าจะรักษาฐานเสียงไว้ได้แค่ไหน
“จำนวน 140 ที่นั่งเป็นตัวเลขอ้างอิง หากเราทำได้เยอะกว่านี้ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ถ้าถอยลงมาระดับหนึ่งคนก็คงไม่แปลกใจเพราะคู่แข่งเยอะ แต่เราก็คงไม่ถอยเยอะ ผมว่าทางบวกมีมากกว่าทางลบ ผมมั่นใจได้เลยว่าเราไม่มีต่ำกว่าร้อยแน่นอน หน่วยงานไหนที่มาปรามาสว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต่ำร้อยให้ไปดูแลพรรคที่อิงกับผู้มีอำนาจจะดีกว่า ว่าจะทำให้ถึง 100 ที่นั่งได้หรือเปล่า ที่ผมมั่นใจว่าเราจะได้เกินร้อยเพราะเรามีคำตอบให้กับประชาชนสำหรับประเทศหลังการเลือกตั้งที่ดี ผมว่าประชาชนไม่ต้องการอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาไม่ต้องการวนเวียนอยู่กับการทุจริตคอร์รัปชันจนเกิดการปฏิวัติ และเราได้ทำการบ้านกับปัญหาเหล่านี้มาอย่างเต็มที่ เราจึงมั่นใจว่าเรามีคำตอบให้กับประชาชน เพราะนโยบายเราไม่ได้แช่แข็งอยู่ที่เดิม แต่มันเป็นไปตามสภาพปัญหาของประชาชนเป็นตัวตั้ง” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
เมื่อถามว่าหากผลการเลือกตั้งออกมาพรรคได้ไม่ถึงจำนวนตามเป้าจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเคยประกาศไปแล้วว่าหากไม่เกิน 100 เสียง ตนพร้อมจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ส่วนที่มองกันว่าสังคมต้องการเปลี่ยนการเมืองแต่คนสมัครยังเป็นหน้าเดิมไม่เปลี่ยน ทางพรรคมีตัวผู้สมัครหน้าใหม่ๆ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนหรือไม่ หัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า ตนก็ยังไม่เห็นว่ามีพรรคไหนที่มีคนที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนเกี่ยวพันกับการเมืองทั้งนั้น แต่เป็นการเมืองแบบไหนเท่านั้น ดังนั้นผู้สมัครของเราก็ยังมีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาผสม ทั้งแบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ แต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับคนที่มีประสบการณ์ภายใต้อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ หากจะบอกว่าจะได้ของใหม่ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ตนก็ยังมองไม่เห็นว่ามีพรรคไหนที่มีพรรคใหม่จริงๆ แต่ต้องดูว่าพรรคไหนมีแนวคิดที่จะนำพาประเทศไปสู่สิ่งใหม่ๆ เผชิญกับปัญหาใหม่ๆ ได้
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ทุกพรรคการเมืองถือว่าเป็นคู่แข่งทั้งหมด แต่เพื่อไทยนั้นถือว่าเป็นแชมป์เก่า มีฐานเสียงที่เป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นยังมีความได้เปรียบอยู่ แม้ขณะนี้จะไม่มีระดับหัวในการจ่ายท่อน้ำเลี้ยงได้มากมายเหมือนที่ผ่านมาก็ตาม เพราะบางคนหนีออกนอกประเทศ แต่ตนคิดว่าหากพรรคมีความพร้อมส่งผู้สมัคร และมีการประชาสัมพันธ์ที่ดี เขาก็สามารถเดินไปได้ในระดับหนึ่ง ส่วนพลังประชารัฐก็เป็นคู่แข่งเช่นกัน เพราะยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
ผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นทายาทสืบทอดอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น หลานนายอภิสิทธิ์ ลูกชายนายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ลูกชายนายชวน หลีกภัย เป็นต้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีระบบสืบทอดอำนาจ กรณีของหลายชายตนนั้น ยืนยันได้ว่า ไม่ใช่ทายาททางการเมืองที่จะมาสืบทอดต่อจากตน เขาเดินมาสมัครที่พรรคด้วยตนเอง ที่ผ่านมาตนแทบจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตนก็เปิดโอกาสให้เขาและคนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่ใช่เดิมพันครั้งสุดท้ายในการเป็นหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ถ้าพรรคไม่ถึงร้อย ตนจะออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค และรอฟังว่าหัวหน้าพรรคใหม่จะให้ตนทำหน้าที่ใดต่อไป ถามย้ำว่าหากสมาชิกพรรคโหวตให้กลับมาอีก นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ถ้าพรรคได้ ส.ส.ต่ำกว่า 100 คน ไม่เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว เพราะถือว่าทำให้พรรคถดถอย จึงต้องรับผิดชอบเป็นธรรมดา
ที่มา sanook