
เป็นเวลา 5 ปีเต็ม หลังตัวแทนกลุ่มนักเรียนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อปี 2563 ขอให้เพิกถอนกฎกระทรวงเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน เนื่องจากขัดต่อสิทธิในร่างกายและละเมิดร่างกาย
ศาลปกครองสูงสุดสั่งยกเลิกทรงผมนักเรียน
เป็นเวลา 5 ปีเต็มหลังตัวแทนกลุ่มนักเรียนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อปี 2563 ขอให้เพิกถอนกฎกระทรวงเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน เนื่องจากขัดต่อสิทธิในร่างกายและละเมิดร่างกาย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ลงวันที่ 6 ม.ค.2518
ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับทรงผม และการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน ที่ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย.2515 โดยมีผลนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ด้วยศาลเห็นว่า กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของเด็กนักเรียนเกินสมควรแก่เหตุ ไม่สอดคล้องสภาพสังคมปัจจุบัน รวมถึงขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และรัฐธรรมนูญ
นํามาสู่ข้อสรุปที่ว่า ภายใต้คำพิพากษาศาลนี้ ต่อไปจะไม่มีการกำหนดทรงผมนักเรียน การบังคับใช้คำสั่งของวันที่ 5 มี.ค.2568 ทรงผมนักเรียนจะไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมนักเรียน
ที่สำคัญคือการกระทำใดๆ ที่ล่วงละเมิดต่อสิทธิเด็กและเยาวชน ไม่สามารถกระทำได้อีกต่อไป เช่น การลงโทษด้วยวิธีกล้อนผม เป็นต้น เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิและกระทบต่อจิตใจเด็กนักเรียน
กระนั้นก็ตามในคำพิพากษาเดียวกันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการมีอยู่ของกฎระเบียบเกี่ยวกับทรงผมนักเรียน จะหายไปแบบปลิดทิ้ง เนื่องจากโรงเรียนยังสามารถออกกฎต่างๆ เกี่ยวกับการจำกัดเรื่องทรงผมนักเรียนได้
ตามหลักที่ว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเด็กและเหมาะสมตามช่วงวัย
การที่ศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าว นักสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ต่างแสดงออกด้วยความยินดีกับสิทธิเสรีภาพในเด็กและเยาวชน ที่ได้รับการยอมรับและเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับ
แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางส่วนที่ยังตั้งคำถามและแสดงความกังวลต่อประเด็นการเปิดช่องให้โรงเรียนที่ยังสามารถออกกฎระเบียบมาจำกัดสิทธิเด็กได้อยู่
อันนำมาสู่เสียงเรียกร้องไปยังทุกโรงเรียนและครูทุกคน ต้องรับฟังความคิดเห็นของเด็กนักเรียนอย่างรอบด้านในการออกกฎระเบียบทุกกฎ รวมถึงให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งออกแนวปฏิบัติไปยังทุกโรงเรียนที่ต้องรับฟังความคิดเห็นนักเรียน
เพราะทรงผมเป็นสิทธิในร่างกาย ที่เด็กสมควรมีสิทธิเลือกได้ด้วยตัวเอง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวงในกรณีนี้ จึงสมควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง
ที่มา : khaosod
บทความที่น่าสนใจ