ช่อ พรรรณิการ์ วาณิช สวมฮิญาบครั้งแรก ขึ้นเวทีงานมัสยิดขับเคลื่อนแก้ปัญหาไฟใต้ เผยงบข่าวกรองรั่วไหลง่าย
ช่อ พรรณิการ์ สวมฮิญาบ ขับเคลื่อนแก้ปัญหาแดนใต้
ช่อ พรรรณิการ์ วาณิช สวมฮิญาบครั้งแรก ขึ้นเวทีงานมัสยิดขับเคลื่อนแก้ปัญหาไฟใต้ เผยงบข่าวกรองรั่วไหลง่าย...
วันที่ 12 มกราคม ช่อ พรรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ นายเจนวิทย์ไกรสินธุ์ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะทำงานพรรคอนาคตใหม่ ได้เดินทางไปร่วมงานมัสยิดแสงจันทร์ สี่แยกวัดโหนด ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ร่วมพูดคุยสนทนาการแก้ปัญหาประชาชนและทิศทางการเมืองและขึ้นเวทีพูดคุยกับชาวบ้านที่มาร่วมงาน โดยได้รับการต้อนรับอย่างคึกคัก
ก่อนหน้านี้ น.ส.พรรณิการ์ ได้อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ประจำปี 2563 ระบุว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบดับไฟใต้ ตัดงบเจรจาสันติภาพมากกว่างบข่าวกรองและล้างสมองเด็ก?
ช่อ พรรณิการ์ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 วาระ 2 มีการตัดงบแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ จาก 10,865 ล้านบาท ลดลง 223,553,000 บาท เหลือ 10,641,447,000 บาท ลดลงเพียง 2% จากที่ได้แปรญัติเสนอให้ตัดไป 13.6%
ซึ่งเกิดจากฐานคิดการตัดลดงบประมาณโครงการที่ไม่ส่งเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 โครงการ ได้แก่โครงการเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้อง 1,311 ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพงานข่าวกรองและบูรณาการฐานข้อมูลความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 932 ล้านบาท ลงอย่างละ 50%
เนื่องจากการล้างสมอง ยัดเยียดชุดความจริงที่ถูกผลิตสร้างให้ประชาชนในพื้นที่ และการสร้างสายข่าว มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก และความรู้สึกในด้านลบต่อหน่วยงานราชการ มากกว่าช่วยส่งเสริมสันติภาพและการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่แท้จริง
นอกจาก การปรับลดจะน้อยเกินกว่าที่ควร เมื่อไปดูรายละเอียดของการตัดลดงบประมาณแล้วยังพบว่าการตัดลดเป็นไปอย่างไม่สมเหตุผล งบที่ควรตัด ไม่ถูกตัด ส่วนงบที่ไม่ควรถูกตัด กลับโดนหั่นลงอย่างมีนัยสำคัญ
กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุดในแผนบูรณาการภาคใต้ จำนวน 2,209 ล้านบาท ถูกตัดลดงบประมาณเพียง 110 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% โดยโครงการที่ถูกตัดงบออกไปมากที่สุด คือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพงานข่าวกรอง ในส่วนของกอ.รมน. ถูกตัดไป 17 ล้านบาท และโครงการเดียวกันนี้ในส่วนของกองทัพบกและกองบัญชาการกองทัพไทยยังถูกตัดออกไปอีก 5 ล้าน และ 1 ล้านบาทตามลำดับ โดยสรุปมีการตัดงบโครงการนี้ไปทั้งสิ้น 23 ล้านบาท จาก 932 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 2.4% จากที่เสนอไป 50%
งบข่าวกรองเป็นงบส่วนที่รั่วไหลได้ง่าย ซ้ำซ้อนได้ง่าย เนื่องจากยากจะมีใบเสร็จที่ชัดเจน และการจ่ายเงินให้กับสายข่าวก็เป็นไปโดยลับ จึงไม่อาจตรวจสอบได้ว่ามีการจ่ายเงินซ้ำซ้อนมากน้อยแค่ไหน ทั้งยังเป็นช่องให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย เอื้อประโยชน์พวกพ้องได้ง่าย และยังเอื้อต่อการใช้อำนาจในทางมิชอบ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายป้ายสีกัน งบส่วนนี้จึงควรถูกตัดทอนลงมากขึ้น แม้ไม่ถึง 50% แต่ก็ควรมากกว่า 2.4% และควรมีการเปิดเผยรายละเอียดการใช้งบอย่างโปร่งใสมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมา การซักถามในชั้นกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ไม่มีการให้รายละเอียดใดๆในการใช้งบประมาณส่วนนี้
ส่วนงบประมาณโครงการเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้อง หรืองบโฆษณาชวนเชื่อ ถูกตัดไปในส่วนของกอ.รมน. 11 ล้านบาท และอีก 6.5 ล้านบาทในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ คิดเป็นงบที่ถูกตัดไป 17.5 ล้านบาท จาก 1,311 ล้านบาท หรือตัดไปเพียง 1.3% เท่านั้น จากที่เสนอไป 50%
โครงการที่ไม่ควรจะมีอยู่เลย เช่นโครงการป้องกันแนวความคิดรุนแรงในกลุ่มเยาวชนและสตรี โครงการศึกษาและผลิตชุดข้อมูลเพื่อสลายแนวคิดหัวรุนแรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้องของกอ.รมน. เหล่านี้ถูกตัดลดงบลงไปเพียง 7% จากงบทั้งหมด 151 ล้านบาท ทั้งที่นี่คือการล้างสมองเด็กโดยใช้ภาษีประชาชน ในเอกสารงบประมาณ ระบุกลุ่มเป้าหมายว่าต้องการให้เยาวชนอายุ 1-5 ปี เปลี่ยนความคิดให้ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
และในระหว่างการชี้แจงของผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อกรรมาธิการงบฯ ก็ได้มีการยอมรับว่ามีการตั้งเป้าหมายไปยังเด็กเล็กจริง เนื่องจากกองทัพเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงแนวคิดต้องเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก อันที่จริงงบล้างสมองเด็ก 151 ล้านบาทนี้ควรจะถูกตัดลงทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่นี่เสนอให้ตัดลงแค่ครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ การตัดงบลงแค่ 7% แทบไม่มีผลใดๆ โครงการล้างสมองเด็กฟรีจากภาษีประชาชนจะยังดำเนินไปได้ ซึ่งน่าสงสัยว่าเราจะสร้างสันติภาพชายแดนใต้ได้อย่างไร หากเรายังเอาลูกหลานของพวกเขามาล้างสมองอยู่ทุกวันโดยที่พ่อแม่ของเด็กไม่มีทางเลือก
อีกโครงการที่สมควรถูกตัดทอนงบอย่างยิ่ง แต่กลับแทบไม่มีใครแตะต้องเลย ก็คืองบก่อสร้างถนน งบสร้างถนนของแผนบูรฯปีนี้ คือ 2,325 ล้านบาท คิดเป็น 21.4% ของงประมาณทั้งหมด เป็นงบอันดับ 2 รองจากงบประมาณด้านความมั่นคงและการทหาร ในขณะที่งบด้านการพัฒนาอื่นๆ รวมกันทั้งหมด เพียง 1,900 ล้านบาท น้อยกว่างบสร้างถนน แต่ปรากฏว่ากรรมาธิการงบฯ ตัดลดงบสร้างถนนได้เพียง 30 ล้านบาท ในส่วนของกรมทางหลวงชนบท หรือตัดลงเพียง 1.2% เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการเห็นความเจริญและระบบสาธารณูปโภคที่ดีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่คำถามก็คือ สาธารณูปโภคที่ขาดแคลนในพื้นที่มีเพียงถนนเท่านั้นหรือ ทำไมต้องใช้งบถึงกว่า 2 พันล้านในการสร้างถนน แทนที่จะนำไปเกลี่ยกระจายในงานส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ การสร้างงานสร้างอาชีพ หรือเป็นเพราะการสร้างถนนมีเงินทอนมากและทำได้ง่ายกว่าโครงการอื่น
ในขณะที่งบประมาณหลายโครงการที่ควรจะถูกตัดลด ไม่สามารถตัดลงได้ หลายโครงการที่ไม่ควรจะถูกตัดเลย เพราะมีความจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ กลับถูกตัดลง ทั้งที่งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรก็น้อยมากอยู่แล้ว เห็นได้ชัดในการตัดงบกอ.รมน. เช่นงบโครงการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี หรือการสนับสนุนการพูดคุยเพื่อสันติสุขชายแดนใต้ ได้รับงบเพียง 15 ล้านบาท ก็ยังถูกตัดลง 2 ล้านบาท หรือ 13% และโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ได้รับงบเพียง 2.5 ล้านบาท ถูกตัดลง 8 แสนบาท หรือ 32%
และที่น่าตกใจที่สุด โครงการอบรมหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง มีงบประมาณเพียง 2.2 ล้านบาท ถูกตัดลดงบลง 1.6 ล้านบาท หรือ 72% งบประมาณอบรมอาจฟังดูเหมือนเป็นงบฟุ่มเฟือยผลาญเงินภาษีประชาชน แต่ในพื้นที่อ่อนไหวที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนสูงมากอย่างชายแดนใต้ การสร้างความรับรู้เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ทั้งในหมู่ประชาชน และเจ้าหน้าที่ทหาร เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าไปได้
ปัญหากระทบกระเทือนจิตใจของประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก เกิดขึ้นจากการขาดความรู้ความเข้าใจในสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง หรือการที่เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจในหลักปฏิบัติสากล เช่นการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ประชาชนจำนวนมากไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิเก็บข้อมูลดีเอ็นเอประชาชน หากเจ้าตัวไม่ยินยอม และมีคนจำนวนมากยอมให้เจ้าหน้าที่เก็บดีเอ็นเอโดยไม่ทราบว่าเป็นการล่วงละเมิดเสรีภาพ โดยเฉพาะในเด็ก ในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเด็กถูกเก็บดีเอ็นเอไปแล้วอย่างน้อย 1,500 คน เฉพาะจากที่ปรากฏเป็นข่าว โดยไม่ได้มีการทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนว่าขออนุญาตกันอย่างไร เอาไปทำอะไร ใครเป็นผู้อนุญาต โรงเรียนมีสิทธิ์อนุญาตหรือไม่
ที่สำคัญกว่าการเข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชนของปะชาชน ก็คือความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมามีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจในหลักสากล จนนำมาสู่การถูกวิพากษ์วิจาณ์ สร้างรอยแผลซ้ำเติมในพื้นที่ เช่นกรณีการควบคุมตัวหญิงแม่ลูกอ่อนเข้าศูนย์ซักถามที่หน่วยทหารพรานที่ 45 นราธิวาส กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งทางผบ.หน่วยได้ยอมรับว่า หากตนเองทำตามข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจําและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสําหรับผู้กระทําผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพ) ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
อีกกรณีสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักปฏิบัติสากล ก็คือโศกนาฏกรรมบนเขาตะเว ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ 3 รายถูกเจ้าหน้าที่สังหารด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบ สภาพศพของผู้เสียชีวิตถูกยิงจากข้างหลังหลายนัด ตั้งแต่ศีรษะถึงลำตัว ซึ่งหมายความว่าไม่มีการปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังของสหประชาชาติ ที่ให้ปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก และมีการเจรจา ร้องเตือนก่อนการยิงเสมอ รวมถึงไม่มีการยิงไร้ทิศทาง ยิงโดยใช้อาวุธจำกัด
หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าว ย่อมไม่เกิดการยิงผิดตัว เพราะจะสามารถรู้ได้ก่อนการยิงว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ผู้ก่อการ เป็นเพียงคนตัดไม้ธรรมดา เรื่องนี้กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งตั้งแต่วันที่ 7 เดือนมีนาคม 2550 ให้มีการใช้กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย ทั้งบก เรือ อากาศ อันเป็นการอนุวัตรมาจากหลักกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ กองทัพมีหน้าที่ฝึกอบรมบุคลากรให้ตระหนักและปฏิบัติตามกฎดังกล่าว แต่กลับไม่มีการให้ความสำคัญ ทำให้เกิดการปฏิบัติการที่ผิดพลาด ซึ่งความผิดเพียงครั้งเดียว ทำให้งานการเมืองที่เพียรทำกันมาหลายปีต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ในการตัดลดงบประมาณแผนบูรฯของคณะอนุกรรมาธิการ มีการตัดลดงบกอ.รมน. โดยให้เหตุผลว่าเพื่อประหยัดงบประมาณ และปรับลดโครงการที่ไม่มีความพร้อมในการดำเนินการ อนุฯตัดลดงบลง 5% แล้วให้กอ.รมน.ไปเกลี่ยกระจายว่างบก้อนใดจะโดนตัด ซึ่งการที่งบส่วนที่โดนตัดมากที่สุด กลายเป็นงบส่งเสริมการพูดคุยเจรจา และงบการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม หมายความว่ากอ.รมน.เห็นว่างบส่วนนี้เป็นการสิ้นเปลือง หรือไม่พร้อมปฏิบัติงานหรือ? หากหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณมากที่สุด
ซึ่งหมายถึงการมีบทบาทมากที่สุดในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาชายแดนใต้ ยังมองว่าการพูดคุยสันติภาพเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองงบประมาณ หรือแม้แต่ไม่พร้อมในการปฏิบัติงาน ความหวังที่ว่าจะดับไฟใต้ได้ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่พวกท่านร่างกันขึ้นมาเอง ก็คงอยู่อีกห่างไกล
ภาพ ช่อ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ คลุมฮิญาบครั้งแรก
ประวัติส่วนตัว ช่อ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่
พรรณิการ์ วานิช เกิดวันที่ 28 มกราคม 2531 (ค.ศ. 1988) ปัจจุบันอายุ 31 ปี เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) (2553)
และปริญญาโท MSc Global Politics, London School of Economics and Political Science (LSE) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (2554) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ และถือเป็นสถาบันด้านสังคมศาสตร์ที่ติดอันดับ TOP 5 ของโลก
ประวัติการทำงาน ช่อ พรรณิการ์ วานิช
สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (2554 – 2560) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออก บรรณาธิการฝ่ายต่างประเทศ
พิธีกรรายการสารคดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทยและประเทศอาเซียน iASEAN
พิธีกรรรายการวิเคราะห์ข่าวการเมืองและเศรษฐกิจ Tonight Thailand
พิธีกรรรายการวาไรตี้ ที่มีทั้งเรื่องการเมือง สิทธิมนุษยชน แฟชั่น วัฒนธรรม ท่องเที่ยว จากมุมมมองของผู้หญิง Divas Café
พิธีกรรายการข่าวต่างประเทศ Voice World Wide
เคยฝึกงานที่กรมเอเชียใต้, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา สังกัดกระทรวงต่างประเทศ
ช่อ พรรณิการ์ วานิช กับบทบาทในพรรคอนาคตใหม่
เมื่อทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล ชวนมาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีความลังเลใดๆ สำหรับพรรณิการ์ และน่าจะพูดได้เลยว่า สำหรับคนที่รู้จักและติดตามผลงานกันมานานพอสมควร พรรณิการ์ คือโฆษกพรรคอนาคตใหม่ก่อนที่เธอจะได้รับตำแหน่งนี้จริงๆ เมื่อวันประชุมใหญ่ผู้จดจัดตั้งพรรค 27 พฤษภาคม 2561 เสียอีก
ที่มา: www.mtoday.co.th , www.msn.com