รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience ระบุว่าพบหลักฐานที่ชี้ถึงสาเหตุ
รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience ระบุว่าพบหลักฐานที่ชี้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวแล้ว โดยทีมนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตออสตินของสหรัฐฯ ค้นพบว่า ธรณีสัณฐานข้างใต้แม่น้ำไนล์ ซึ่งมีลักษณะลาดเอียงลงเรื่อย ๆ จากทางทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือของทวีปนั้น สามารถจะคงตัวอยู่ได้ด้วยระบบการไหลเวียนของเนื้อโลกหรือแมนเทิล (Mantle) แบบพิเศษ
ชั้นของเนื้อโลกซึ่งอยู่ระหว่างเปลือกโลกและแก่นโลก ประกอบด้วยหินแข็งและโลหะซึ่งเคลื่อนที่ได้อย่างช้า ๆ เพราะขับเคลื่อนด้วยกระบวนการพาความร้อน (Convection) จากแก่นโลกขึ้นมายังพื้นผิวด้านบน
ในแต่ละพื้นที่ของโลกจะมีระบบไหลเวียนย่อย ๆ ของเนื้อโลกแตกต่างกัน โดยการสำรวจทางธรณีวิทยาและการใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์พบว่า ส่วนของเนื้อโลกข้างใต้แม่น้ำไนล์มีระบบการไหลเวียนที่แยกจากส่วนอื่น ๆ โดยรอบ ทั้งรูปแบบการไหลเวียนก็คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงมานานหลายสิบล้านปีแล้ว
การไหลเวียนชนิดนี้เป็นแบบสายพาน ซึ่งดันให้พื้นที่ต้นน้ำในเอธิโอเปียยกตัวสูงขึ้น และดึงให้แผ่นดินที่รองรับสายธารช่วงต่อมาค่อย ๆ ลาดต่ำลงไปทางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ จนทำให้ความแตกต่างระหว่างความสูงของพื้นที่ต้นน้ำกับปลายน้ำมีมากถึง 1.5 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ทีมผู้วิจัยยังพบหินภูเขาไฟชนิดเดียวกับที่พบบริเวณต้นน้ำในแถบเขาสูงของเอธิโอเปีย กระจายตัวอยู่ในชั้นดินตะกอนก้นแม่น้ำตลอดสายด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าแม่น้ำไนล์มีอายุเก่าแก่เท่ากับพื้นที่ต้นน้ำคือ 30 ล้านปี นับว่ามากกว่าอายุของแม่น้ำที่เคยมีผู้สันนิษฐานไว้ก่อนหน้านี้ถึง 6 เท่า
ศาสตราจารย์ คลอดิโอ ฟาซเซนนา ผู้นำทีมวิจัยกล่าวว่า "ถ้าไม่มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาและระบบไหลเวียนของเนื้อโลกที่คงทนอยู่หลายสิบล้านปีเช่นนี้ แม่น้ำไนล์คงจะเปลี่ยนเส้นทางของกระแสน้ำไปยังทิศตะวันตกของแอฟริกานานแล้ว ซึ่งก็จะทำให้ประวัติศาสตร์โลกและพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย"