ศาลจังหวัดพล ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ประมาณ 30 นาที ก่อนมีคำสั่งให้ นพเปรมศักดิ์ และ ว่าที่ รตบัวทอง จำคุกคนละ
'หมอเปรม' ไม่รอดคุก สั่งนักข่าวแก้ผ้า
วันที่ 5 พ.ย. ศาลจังหวัดพล ได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 4 คดีเลขที่ อ.1519/60 ในข้อหาอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ ระหว่างพนักงานอัยการศาลจังหวัดพล เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีต เลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ในฐานะจำเลย
โดย นายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือหัวสีฉบับหนึ่ง ประจำศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในฐานะโจทก์ร่วม
ทำให้วันนี้ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย ต้องเดินทางมารายงานตัวต่อศาลเพื่อรับฟังคำพิพากษา ท่ามกลางความสนใจจากสื่อมวลชน รวมไปถึงผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในคดีดังกล่าวมาร่วมรับฟังจำนวนมาก โดยที่ศาลจังหวัดพลได้กำหนดพื้นที่ให้สื่อมวลชนทำการบันทึกภาพได้เฉพาะบริเวณด้านหน้าศาลเท่านั้น และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อเข้าไปภายในพื้นที่เด็ดขาด
ศาลจังหวัดพล ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ประมาณ 30 นาที ก่อนมีคำสั่งให้ นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง จำคุกคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยเห็นว่า คำตัดสินของศาลชั้นต้น ชอบแล้ว การที่จำเลยมากลับคำให้การรับสารภาพ ในตอนหลังไม่เกิดประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาลแต่อย่างใด
ซึ่งทันทีที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ตำรวจศาลได้ควบคุมตัวจำเลยทั้ง 2 ไว้ในการควบคุมทันที โดยที่ทนายความของจำเลยนั้น ได้ทำเรื่องขอประกันตัวในชั้นฏีกา ซึ่งต้องรอการพิจารณาอนุมัติจากศาลฎีกาอีกครั้ง
คดีความดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้ตัดสินไปเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2561 ให้ นพ.เปรมศักดิ์ พร้อมพวกรวม 2 คน รับโทษจำคุกคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จำเลยได้ขอยื่นอุทธรณ์สู้คดี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้นัดอ่านคำพิพากษาไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2562 ที่ผ่านมา
แต่เมื่อใกล้ถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 นพ.เปรมศักดิ์พร้อมพวก ได้ขอกลับคำให้การใหม่ในชั้นอุทธรณ์ โดยให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เพื่อขอให้ศาลเห็นใจและลงโทษสถานเบา ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาใหม่ และนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งวันนี้ โดยให้ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
สำหรับความเป็นมาของคดีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 26 ก.ค.2559 โดยผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักข่าว ในจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย นายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ,นายปราโมทย์ ศรีบุระ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 , น.ส.จิติมา จันพรม ผู้สื่อข่าวเครือเดอะเนชั่น,นายสุพล บุญชื่นชม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน/ข่าวสด และนายปรัชญา เทพสกุล ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เคเคซีเคเบิ้ล ทีวี ที่ได้ติดตามทำข่าว กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย
เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ หรือ หมอเปรม อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นั่งคู่กับหญิงสาวชั้น ม.5 โดยที่ด้านหน้ามีพานใส่ธนบัตรจำนวนหนึ่ง และมีสำเนาทะเบียนรถยนต์เล่มสีน้ำเงินวางอยู่ 1 เล่ม พร้อมพระพุทธรูปโดยมีคนเฒ่าคนแก่กำลังผูกแขน คล้ายมีพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน โดยผู้สื่อข่าวทั้งหมดได้ขอพบและสัมภาษณ์หมอเปรม ภายในที่ทำการสำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้กับหมอเปรมเป็นอย่างมาก
หมอเปรมจึงได้วางแผนหลอกให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักเข้าไปภายในห้องทำงานของนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งหมดเข้าไปภายในห้องดังกล่าว กลับถูก หมอเปรมสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลซึ่งเป็นลูกน้อง เก็บโทรศัพท์ มือถือ กล้องถ่ายภาพของ ผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมกับล็อกตัวผู้สื่อข่าว นายก่อสิทธิ์ แก้ผ้าประจาน
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนัก จึงเดินทางจึงแจ้งความเอาผิดกับหมอเปรม พร้อมพวกรวม 7 คน ที่ สภ.บ้านไผ่ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2559 ในข้อหา “ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขืนจิตใจ ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการ และกระทำการอนาจารต่อหน้าธารกำนัล“ ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านไผ่ได้สรุปสำนวนคำฟ้องส่งให้กับอัยการจังหวัดพล เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2559
โดยอัยการจังหวัดพล มีความเห็นสั่งฟ้องเฉพาะ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีต เลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เพียง 2 คนเท่านั้น ส่วนฝ่ายโจทย์ทางอัยการมีความเห็นว่ามีเพียงนายก่อสิทธิ์ เพียงคนเดียวเท่านั้น ได้รับความเสียหาย ซึ่งคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้คดีกันมา
และศาลชั้นต้นได้ตัดสินไปเมื่อ วันที่ 21 มิ.ย. 2561 ให้หมอเปรมพร้อมพวกรวม 2 คน รับโทษจำคุกคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา หมอเปรมกับพวกจึงได้อุทธรณ์ขอสู้คดีจนมาถึงวันนี้ และศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ก็ได้พิพากษาให้หมอเปรม พร้อมพวก จำคุกคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากศาลอุทธรณ์เห้นว่า คำตัดสินของศาลชั้นต้นชอบแล้ว การที่จำเลยมากลับคำให้การรับสารภาพ ในตอนหลังก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาลแต่อย่างใด
ที่มา: www.khaosod.co.th