มูลนิธิรามอน แมกไซไซ ประกาศให้ อังคณา นีละไพจิตร นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน
2 สิงหาคม 2562 มูลนิธิรามอน แมกไซไซ ประกาศให้ อังคณา นีละไพจิตร นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน และอดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นหนึ่งใน5 ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ประจำปี 2019 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของเอเชีย
คณะกรรมการพิจารณารางวัลระบุว่า อังคณา นีละไพจิตร ได้เดินหน้าพิทักษ์และทวงถามถึงความยุติธรรมในสังคมไทยมาตลอด หลังจากการหายไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้เป็นสามี
รวมถึงช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและความขัดแย้งทางภาคใต้ของไทย สิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดในตัวอังคณาคือ เธอเป็นเพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเห็นผลประจักษ์ในระดับประเทศ
ในบทสัมภาษณ์พิเศษ'อังคณา นีละไพจิตร'อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2562 มีเนื้อหาดังนี้
อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหมาดๆ กลายเป็นที่รู้จักในสังคมไทยจากกรณีการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ผู้เป็นสามี ซึ่งต่อมาเป็นที่รับรู้กันว่าการหายตัวไปของทนายสมชายน่าจะเป็นเพราะถูก "อุ้มหาย" โดยเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มหนึ่ง สืบเนื่องจากการทำงานช่วยเหลือผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
อังคณา ในฐานะผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องสูญเสียสามี ตัดสินใจออกมายืนกลางแสงไฟเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชายคู่ชีวิต แต่สุดท้ายกระบวนการยุติธรรมไทยก็ไม่สามารถหาตัวคนผิดมาลงโทษได้ แม้จะระดมมือสอบสวนจากหน่วยงานที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในประเทศอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ก็ตาม
อังคณา สานต่องานของสามี ด้วยการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ปลายด้ามขวาน โดยตั้งคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพขึ้นมา และกลายเป็นที่พึ่งของผู้ถูกละเมิดจำนวนไม่น้อย
กรณีล่าสุดที่อังคณาถูกพูดถึงก็คือการเรียกร้องจากญาติของ นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังนายอับดุลเลาะหมดสติอย่างเป็นปริศนาระหว่างถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งป่านนี้ยังไม่ฟื้น ต้องอยู่ในห้องไอซียู
ท่าทีของ อังคณา ต่อเรื่องนี้ก็ยังกล้าหาญ ตรงไปตรงมาไม่เคยเปลี่ยน ท่ามกลางการพยายามชี้แจงจากฝ่ายความมั่นคงว่า กรณีของนายอับดุลเลาะ ไม่มีการซ้อมทรมาน เพราะไม่มีบาดแผลตามร่างกาย
"เรื่องของการมีบาดแผลหรือไม่มีบาดแผลไม่ใช่ประเด็น เพราะว่าถ้าหากว่าเราทราบถึงนิยามการทรมานของสหประชาชาติ จะเข้าใจดีว่าการทรมานไม่จำเป็นต้องมีแผล มันเป็นเรื่องลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีการใช้วิธีที่จะไม่เกิดบาดแผลได้ ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะตรวจสอบ ที่มีการพูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือเขาไม่ให้นอน มีการร้องเรียนเข้ามาส่วนใหญ่ว่าเขาไม่ให้นอน เวลาเราตรวจสอบก็ไม่พบบาดแผล ขณะที่ข้อมูลของเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านจะมีข้อมูลคนละอย่าง คนละชุด ตรงนี้ส่วนตัวจึงคิดว่าทางเจ้าหน้าที่เองก็ควรจะตรวจสอบกระบวนการภายในของตนเองด้วย ไม่ใช่พูดแค่ว่าไม่มีบาดแผลเท่านั้น"
นี่คือบทสัมภาษณ์สุดท้ายของอังคณาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนใต้ ก่อนจะมีข่าวแถลงลาออก
"ต้องยอมรับความจริงว่าการที่เรารับเงินเดือนแต่ละเดือน เราก็ต้องถามตัวเองตลอดว่าเรามาทำอะไรบ้าง แม้จะดีใจที่ได้เป็น กสม. แต่ก็ต้องคิดทบทวนตลอด ก็หวังว่าคนที่เข้ามาใหม่จะสามารถทำงานได้มากขึ้น เพราะการทำงานให้สำเร็จหรือไม่อยู่ที่ตัวบุคคล หากว่าเป็นคนที่เชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนก็เชื่อว่าจะทำงานได้และประสบผลสำเร็จ"
และดูเหมือนว่าประเด็นข้อกล่าวหาที่พูดกันมากเกี่ยวกับปัญหาซ้อมทรมานในภาคใต้ ยังเป็นเรื่องที่เธอคาใจและเป็นห่วง
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการร้องเรียนอย่างต่อเนื่องมาตลอด มีการสรุปรายงานล่าสุดด้วยว่ามีการร้องเรียน 100 คำร้องในประเด็นถูกจับ ถูกซ้อม และซ้อมแบบไม่มีบาดแผล คนที่มาร้องเรียนอ้างว่าถูกถุงดำคลุมหัวบ้าง เอาน้ำสาดใส่หน้าบ้าง มันยากที่จะพิสูจน์ แต่มันก็เป็นคำร้องที่ซ้ำๆ เป็นร้อยครั้งเหมือนกันหมด ซึ่งเรื่องนี้ทางประธานกสม.บอกว่าจะไปทำเอง จึงอยากให้รัฐใจกว้าง"
เมื่อถามถึงอนาคตของการทำงานในระยะต่อไป อังคณา ตอบตรงๆ ว่ายังไม่มีแผนอะไรชัดเจน
"ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อ ก็มีหลายคนชวนไปสอนหนังสือ ไปเป็นที่ปรึกษาองค์กรเอกชนในพื้นที่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ไม่มีแพลนที่จะลาออกว่าไปทำอะไร แต่ที่ผ่านมาได้ทำงานกับสามจังหวัดมานานแล้ว ก็เชื่อมันว่าเรามีประสบการณ์ตรงนี้ คิดว่าน่าจะมีโอกาสได้กลับไปทำงาน และมีความเป็นอิสระมากขึ้น อาจจะได้ทำอะไรได้มากขึ้นกว่าตอนที่เป็นกสม."
อังคณา ยังฝากขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งถึงเธอ ทำให้เธอได้รู้ว่าไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง
"ต้องขอบคุณมากที่ไว้วางใจ ยอมรับว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำงานในพื้นที่ภาคใต้ เจ้าหน้าที่เองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เราถือว่าเรายืนอยู่ข้างผู้เสียหายมาตลอด ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด เรายืนอยู่เคียงข้างทุกคน ก็หวังว่าจะได้กลับไปทำงานในภาคใต้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบทบาทใหม่"
นอกจากอังคณา นีละไพจิตรแล้ว ยังมีอีก 4 ท่านที่ได้รับรางวัลแมกไซไซในปีนี้คือ Raymundo Pujante Cayabyab (ฟิลิปปินส์), Kim Jong-ki (เกาหลีใต้), Ko Swe Win (เมียนมา) และ Ravish Kumar (อินเดีย)