กรมการขนส่งทางบกแจ้งความคืบหน้าการตรวจสอบ โดยได้เรียกตัวผู้ขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวมารายงานตัว
จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนผ่านทาง จส.100 ประสานไปยังกรมการขนส่งทางบกว่าได้รับแจ้งจาก คุณเจียรนัย เป็นเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ 4 คน เรียกรถแท็กซี่ สีเขียว-เหลือง ทะเบียน ××-7187 จากสวนจตุจักร จะกลับโรงแรมที่ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ แต่คนขับแท็กซี่กลับพาไป จ.ชลบุรี
โดยขณะนั่งรถแท็กซี่ ผู้โดยสารชาวฟิลิปปินส์รู้สึกเอะใจจึงได้แชตขอความช่วยเหลือและส่งพิกัด GPS มาให้ระหว่างอยู่บนถนนมอเตอร์เวย์
นอกจากนี้ ยังทราบว่าชาวฟิลิปปินส์มีสร้อยทองเส้นใหญ่กันทุกคน จึงเป็นห่วงพร้อมกับแจ้งตำรวจ 191 และตำรวจท่องเที่ยวด้วย จนกระทั่งในเวลา 22.00 น. คนขับแท็กซี่พาชาวฟิลิปปินส์กลับมาส่งที่โรงแรมธาราวิช ซ.เพชรบุรี 13 อย่างปลอดภัย โดยเรียกเงินค่าโดยสารจำนวนถึง 3,000 บาท แต่ชาวฟิลิปปินส์ปฏิเสธที่จะจ่าย หลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง คนขับแท็กซี่ก็รีบขับออกไปทันที
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. กรมการขนส่งทางบกแจ้งความคืบหน้าการตรวจสอบ โดยได้เรียกตัวผู้ขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวมารายงานตัว ทราบชื่อว่าคือ นายรังสันต์ เป็นผู้ครอบครองรถ ต่อทะเบียนรถถูกต้อง และมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะอย่างถูกต้อง
โดยให้การยอมรับว่า เรียกราคาเหมาจากผู้โดยสารจริง ตนเองรับผู้โดยสารจากหน้าสวนจตุจักร และผู้โดยสารได้ยื่นนามบัตรให้ แต่ตนเองไม่ได้ดูโดยคิดว่าให้ไปส่งที่จังหวัดชลบุรี แต่ขณะขับรถอยู่นั้นเพื่อนผู้โดยสารถามว่าถึงไหนแล้วตนจึงตอบไปว่าอยู่บนมอเตอร์เวย์ เพื่อนผู้โดยสารจึงบอกว่าไปผิดที่แล้วเนื่องจากผู้โดยสารจะให้ไปส่งที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จึงรีบพาผู้โดยสารกลับมาส่ง
ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของผู้ขับรถคันดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 จึงดำเนินการดังนี้
1. เปรียบเทียบปรับตามมาตรา 5 (2) ประกอบมาตรา 58 ฐานไม่ใช้มาตรค่าโดยสารเป็นเงิน 1,000 บาท
2. เปรียบเทียบปรับตามมาตรา 57 เบญจ ประกอบมาตรา 66/2 ฐานพาผู้โดยสารไปในเส้นทางที่อ้อมเกินควรเป็นเงิน 1,000 บาท
3. ให้ผู้ขับรถอบรมเสริมความรู้และปลูกจิตสำนึกการให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสารตามหัวข้อวิชาที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง พร้อมบันทึกประวัติการกระทำความผิดไว้เพื่อติดตามพฤติกรรมไปยังศูนย์ประวัติผู้ขับรถ กรมการขนส่งทางบก