เปิดประวัติสุดเริด มูนา อัล ซารูณีย์ ที่เรียกได้ว่าทางเดินของเธอนั้นเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะมีขวากหนามมาขวางทางบ้างก็ตาม แต่เธอก็ผ่านมันมาได้อย่างสง่างาม
เปิดประวัติ มูนา อัล ซารูณีย์ สาวไทยผู้โชคดี ได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีดูไบ
หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาของ มูนา อัล ซารูณีย์ จากรายการโทรทัศน์ที่ไปเปิดบ้านอันหรูหราของเธอหลายรายการ และรู้เพียงว่าเธอเป็นภรรยาของเศรษฐีชาวดูไบเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเรื่องราวของมูนามีความน่าสนใจกว่านี้อีกมาก ซึ่งบางเรื่องหลายคนก็อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
เปิดประวัติสุดเริด มูนา อัล ซารูณีย์ ที่เรียกได้ว่าทางเดินของเธอนั้นเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะมีขวากหนามมาขวางทางบ้างก็ตาม แต่เธอก็ผ่านมันมาได้อย่างสง่างาม จะมีเรื่องไหนน่าสนใจบ้างนั้นตามมาอ่านกันได้เลย
1. ชีวิตวัยเด็กสุดเรียบร้อยและอยู่ในกฎของ มูนา อัล ซารูณีย์
มูนา เดิมใช้ชื่อว่า ปิยะดา พอนิกะห์แต่งงานเปลี่ยนเป็นอิสลาม ชื่อ มูนา เติบโตมาในครอบครัวที่พอมีฐานะไม่ได้ลำบากอะไร คุณพ่อมีอาชีพเป็นข้าราชการตำรวจ ส่วนคุณแม่ทำธุรกิจขายเครื่องเพชร ถึงแม้ว่าในวัยเด็กจะเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เธอก็ปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด ไม่เคยทำอะไรให้พวกท่านขัดใจ อีกทั้งยังใช้ความสามารถด้านอื่นมาทดแทนผลการเรียนที่ทำได้ไม่ดีนัก เช่น การเย็บปักถักร้อย ประดิษฐ์ประดอยสิ่งของต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเธอก็สามารถทำมันได้ดีเลยทีเดียว
2. ชีวิตแต่งงานครั้งแรกที่ไม่สมหวัง
มูนา อัล ซารูณีย์ เคยผ่านการแต่งงานกับสามีคนไทยมาก่อน พร้อมทั้งมีลูกชายด้วยกัน 2 คน แต่ความรักครั้งนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง สุดท้ายแล้วจึงต้องจบลงด้วยการแยกทางกัน
3. เปิดบริษัททัวร์จนได้พบรักครั้งใหม่กับเศรษฐีชาวดูไบ
ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่มีความขยันขันแข็งพร้อมมีหัวด้านการค้าที่ได้รับมาจากคุณแม่ มูนา อัล ซารูณีย์ จึงเปิดบริษัททัวร์ร่วมกับเพื่อน ๆ ซึ่งกิจการนี้ก็เป็นไปได้สวย มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการทุกระดับ ไม่เว้นแม้กระทั่งเศรษฐีหนุ่มชาวดูไบ อาเหม็ดณู อัล ซารูณีย์ ที่มาใช้บริการทัวร์ของเธออยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังเดินหน้าจีบเธอแบบเต็มกำลัง แม้ว่ามูนาจะได้ยินมาบ้างว่าเศรษฐีหนุ่มชาวดูไบคนนี้ร่ำรวยแค่ไหน แต่เธอก็ยังไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
4. เศรษฐีหนุ่มทุ่มจีบสุดตัว ส่งเงินสดให้ 1 ล้านบาท เพื่อซื้อรถหรู
ขณะนั้น อาเหม็ดณู อัล ซารูณีย์ ยังคงต้องบินไป-มาระหว่างไทยกับดูไบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาลดความพยายามในการตามจีบมูนาไปได้เลย เขาทุ่มเทโทรศัพท์มาที่เมืองไทย จนหมดเงินค่าโทร. ไปถึงเดือนละ 4 แสน อีกทั้งยังโอนเงินสดมาให้เธอกว่า 1 ล้านบาท เพื่อซื้อรถคันใหม่ขับ จากความพยายามนานนับปีที่แสดงความจริงใจ ในที่สุดมูนาก็ตัดสินใจแต่งงานกับเศรษฐีหนุ่มเจ้าบุญทุ่ม แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อจริงจาก ปิยะดา เป็น มูนา ตั้งแต่นั้นมา
5. ต่อสู้ฟันฝ่าในฐานะสะใภ้คนโตของบ้านมหาเศรษฐี ครอบครัวที่รวยอันดับ 5 ของดูไบ
หลังจากแต่งงานที่เมืองไทยมูนาและสามียังไม่ได้ย้ายไปอยู่ดูไบในทันที จนกระทั่งมีลูกสาวและลูกชายจึงได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ดูไบ เมื่อไปถึงเธอต้องปรับตัวหลายอย่างเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมที่นั่น อีกทั้งเธอยังได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้คนโตของครอบครัวที่รวยเป็นอันดับ 5 ของประเทศ จึงต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมดตั้งแต่การแต่งตัว ซึ่งต้องเน้นประโคมเพชรและเครื่องประดับเข้าไว้จะได้ไม่น้อยหน้าใคร อีกทั้งยังต้องเอาใจแม่สามีอย่างดี จนทำให้เธอได้ขึ้นมาเป็นสะใภ้คนโปรด ที่สะใภ้อื่น ๆ ต้องเชื่อฟัง
6. ชีวิตสุขสบายเพราะมีคนรับใช้ข้างกายถึง 16 คน
ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐี การบ้านการเรือนก็แทบจะไม่ต้องจับ เพราะที่บ้านหลังนั้นมีคนคอยรับใช้มากถึง 16 คน แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น คนยกอาหาร คนซื้อกับข้าว คนซักผ้า คนกวาดพื้น ซึ่งทุกคนจะทำแค่งานของตัวเองเท่านั้น ไม่มีการยุ่งเกี่ยวงานของกันและกัน อย่างไรก็ตาม แม้มูนาจะมีชีวิตสุขสบายอย่างนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอต้องลงมือทำเองก็คือเข้าครัวปรุงอาหารไทย เนื่องจากไม่มีเชฟคนไหนทำได้ถูกปากเท่ากับที่ลงมือทำเอง และทุกครั้งที่ลงมือทำ ก็ต้องใช้แรงงานในการช่วยเตรียมของหลายคน ด้วยประเพณีของบ้านหลังนี้ หากมีการรับประทานอาหารครั้งใด จะต้องวางอาหารไว้เต็มโต๊ะทุกครั้ง แม้ว่าจะมีคนมากินแค่คนเดียวก็ตาม
7. สามีให้เงินใช้มากกว่าเดือนละ 7 หลักโดยไม่ต้องทำงาน
เมื่อแต่งงานแล้วมูนาก็ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรอีกเลย เธอเพียงแค่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้านและอบรมสั่งสอนลูก ๆ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังได้เงินเดือนจากสามีของเธอไม่เคยขาด หากคิดเป็นเงินไทยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 7 หลัก เงินที่ได้มาเธอก็จะเอาไปซื้อเครื่องเพชรเก็บไว้ เผื่อเวลามีงานสำคัญอะไร จะได้ไม่ต้องออกไปหาซื้อให้ยุ่งยาก แถมยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากอีกด้วย
8. เคล็ดลับความสวย กินโสมบำรุงสุขภาพเฉลี่ยปีละ 1.2 ล้านบาท
ปกติแล้วมูนาจะเน้นการดูแลตัวเองให้สวยจากภายในสู่ภายนอก ทุกเช้าจะต้องดื่มน้ำผลไม้แยกกาก ส่วนตอนเย็นก็จะไม่กินข้าวเพื่อรักษาหุ่น มีการทำศัลยกรรมอย่างฉีดโบท็อกซ์และดึงหน้าบ้าง แต่สิ่งที่เธอรักและคิดว่าน่าจะทำให้ดูดีขึ้นได้มากที่สุดคงเป็นโสมสกัด ซึ่งช่วยเรื่องผิวพรรณและสุขภาพได้มาก จนสามีถึงขั้นเอ่ยปากชม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายประมาณปีละ 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว
9. ชีวิตบั้นปลายที่มีความสุข ไม่ขอทำงานอะไรให้เหนื่อยแล้ว
ปัจจุบันนี้ลูก ๆ ทุกคนของเธอเรียนจบกันแล้ว อีกทั้งยังมีหลานตัวน้อย ๆ ให้คอยอุ้มเล่นด้วย โดยเธอก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายนักในบั้นปลายชีวิต ขอแค่มีความสุขในทุกวัน มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงก็เพียงพอแล้ว และถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตที่ดูไบเป็นหลัก เพราะอยู่ที่นั่นมานานถึง 28 ปี ทำให้มีความเคยชินอีกทั้งยังมีทรัพย์สินที่นั่นให้ต้องดูแลอีกด้วย
จะเห็นได้ว่ามีบทเรียนหลายอย่างเลยที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของ มูนา อัล ซารูณีย์ ทั้งเรื่องความขยันขันแข็ง ความเป็นแม่บ้านที่ดี แล้วยังมีหัวด้านธุรกิจอีก ทั้งหมดนี้เองจึงทำให้เธอมายืนอยู่จุดนี้ได้ เรียกได้ว่าการจะเป็นซินเดอเรลล่าแบบในนิยายได้ นอกจากจะต้องมีโชคช่วยแล้ว เราก็ต้องทำตัวเองให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นเช่นกัน
- ย้อนเปิดใจ มูนา อัล ซารูณีย์ สะใภ้เศรษฐีดูไบ ติดรวย TOP 5 (ไม่เซ็นเซอร์)
- ภาพล่าสุด “อานัส ฬาพานิช” หลังหายไปจากวงการ
- เผย !! ขุมทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ที่ไหนและมีอะไรบ้าง?
- เผย เรื่องจริง Sheikh Hamdan เจ้าชาย แห่งดูไบ ที่หล่อ ฮอต รวยที่สุดในโลก กับชีวิตสุดเพอร์เฟกต์
ที่มา:kapook.com