สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวัน ที่ 19 ธคที่ผ่านมา เรื่อง "คำชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกรณีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่คลาดเคลื่อน"
หยุดเสี้ยม! 'พุทธ ชน อิสลาม' แจงข้อมูลเกินความจริง
สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวัน ที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา เรื่อง "คำชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกรณีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่คลาดเคลื่อน"
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่คลาดเคลื่อน จนถึงปลุกกระแสต่อต้านศาสนาอิสลามในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยโดยเชื่อมโยงกับหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการทำร้ายฆ่าคนไทยพุทธ และเชื่อว่าเหตุไม่สงบกิดจากการใช้มัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อร้ายและการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติไทยสร้างความเกลียดชังแตกแยกจนนำไปสู่ความเกลียดชังประเทศชาติ พร้อมทั้งสรุปว่า เชื้อร้ายดังกล่าวกำลังคืบคลานขยายตัวเข้ามายังภาคอีสานภาคเหนือ และทุกจังหวัดผ่านการสร้างมัสยิด ต่อมามีการรวมกลุ่มคนจำนวนหนึ่งส่งจดหมายเรียกร้องจุฬาราชมนตรีในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลามในประเทศให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่คนกลุ่มนี้มองว่าสร้างความวุ่นวายแตกแยกในสังคมไทย และที่สำคัญคุกคามพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่เคารพนับถือ
สำนักจุฬาราชมนตรีตระหนักดีว่าพุทธศานิกชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีความเข้าใจและให้เกียรติคนมุสลิมเสมอมา แต่ก็มิได้ละเลยต่อปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างตันที่อาจสร้างความเคลือบแคลงสงสัยและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่างศาสนาในระยะยาวตลอดจนกร่อนเซาะรากฐานความมั่นคงของประเทศชาติ ดังนั้น เพื่อจรรโลงความเป็นสังคมพหวัฒนธรรมของสังคมไทยที่ผู้คนต่างศรัทธามีความเคารพ ให้เกียรติและยอมรับในความเชื่อและความต่างทางชาติพันธุ์ของกันและกันสมอมา สำนักจุฬาราชมนตรีขอใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจหลักคำสอนและแนวทางปฏิบัติของมุสลิมต่อสังคมไทย ดังต่อไปนี้
๑. การเชื่อมโยงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ มัสยิด และ สถาบันการศึกษาศาสนาอิสลาม ว่าหากมีสถาบันษแห่งนี้ที่ไหน จะมีความไม่สบที่นั่น นับเป็นความข้าใจคลาดเคลื่อน ๒ ประเด็น คือ
๑.๑ ความเข้าใจคลาดคลื่อนต่อเหตุแห่งปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแตนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาแต่อย่างใด แต่มีรากเหง้ามาจากความขัตแย้งทางการเมืองประวัติศาสตร์การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดในอดีต ความไม่เป็นธรรมยาเสพติด และธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความพยายามจากคนบางกลุ่มใช้ศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมมวลชน แต่ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จกับคนมุสลิมส่วนใหญ่ที่มีความตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพในทางศาสนาที่ประเทศให้หลักประกันกับประชาชนทุกหมู่เหล่า
๑.๒ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อ "มัสยิด" และ "สถาบันการศึกษาศาสนาอิสลาม"ศาสนาอิสลามป็นศาสนาที่วางอยู่บนพื้นฐานของ "หลักศรัทธา" "หลักปฏิบัติ" และ "หลักคุณธรรม" กิจวัตรประจำวันของมุสลิมจึงผูกพันไว้กับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามมัสยิดจึงเป็นศาสนสถานที่มีหน้าที่ไม่ต่างไปจาก"วัด" ในพุทธศาสนา ส่วนสถาบันการศึกษาเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ในการอบรมบ่มเพาะคุณธรรมและจริยธรรมพร้อมทั้งขัดเกลาจิตใจ และจิตวิญญาณของศรัทธาชนให้ดำเนินอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ต่างไปจากศูนย์อบรมจริยธรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของวัดแต่ประการใดปัจจุบันสถาบันการสอนศาสนาอิสลามมีการปรับตัวโดยการนำเอาหลักสูตสามัญดังเช่นที่นักเรียนทั่วประเทศเรียนไปสอนร่วมกับการอบรมจริยธรรมทางศาสนาสถาบันการศึกษาศาสนาอิสลามส่วนใหญ่จึงปฏิรูปเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ
นอกจากนี้การสร้างมัสยิดมีกาจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามแนวทางที่สำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดไว้ โดยมีการกำกับจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และกระทรวงมหาดไทย ตามลำดับ
๑.๓ ปัญหาการผยแพร่ความคิดเชิงอุดมการณ์ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่งเกิดจากการอ้างคำอธิบายทางศาสนากล่าวคือผู้ก่อความไม่สงบปลูกฝังความคิดว่าประเทศไทยเป็น "ดินแดนสงคราม" ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงมีความชอบธรรมในทางอิสลาม แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการอธิบายที่มีควมคลาดเคลื่อนและห่างไกลจากบทบัญญัติศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลไทยให้หลักประกันในสิทธิสรีภาพในการนับถือศาสนาและการประกอบศาสนกิจแก่คนมุสลิมอย่างเท่าเทียม และถือว่าการทำร้ายผู้บริสุทธิ์เป็นบาปใหญ่ตามหลักการศาสนาอิสลาม
ดังนั้น การด่วนสรุปโดยการเชื่อมโยงสถานการณ์ด้วยควมเข้าใจคลาดเคลื่อน ไม่มีความเข้าใจเหตุแห่งปัญหาและบริบททางสังคมอย่างแท้จริง มิได้ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกทั้ง ๒ ศาสนา
๒. ความพยายามเผยแพร่ข้อมูล "แผนการยึดครองประเทศไทย และนำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้กับคนทั่วไปในประเทศไทย" ผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ชื่อมโยงกับการสร้างมัสยิดในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยจนำไปสู่การยึดครองประเทศของมุสลิมนั้นข้อความลักษณะดังกล่าวห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ความเป็นจริงคือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมมีเพียง ๔ ฉบับ คือ
๑) พระราชบัญญัติวด้วยการใช้กฏหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีนราธิวาส ยะลา และสตูลพ.ศ..๔๔๙ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดกดรอบครัวและมรดกของมุสลิมใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
๒) พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการยัจย์พ.ศ.๒๕๒๙เป็นกฎหมายที่มุ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธียัจย์จากเงินส่วนตัวของผู้ที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์รัฐบาลมิได้จัดงบไปสนับสนุนพิเศษ ยกเว้นกรณีที่รัฐต้องการเยียวยาให้เจ้หน้ที่รัฐหรือมุสลิมที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
๓) พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ที่ไม่ไต้แตกต่างไปจากพระราชบัญญัติคณสงฆ์แต่อย่างใด โครงสร้างหลักของพระราชบัญญัติฉบับนี้วางบทบาทให้จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม มีคณะกรรมการขึ้นมาดูแลในระดับหมู่บ้านหรือชุมชน(ระดับชุมชนมีกรรมการมัสยิด โดยผู้นำศาสนาและตัวแทนด้านศาสนาทุกคนไม่ได้มีอำนาจ บทบาทหน้าที่ในการบริหารจัดการทางการมืองในทุกระดับของสังคม
๔) พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประทศไทยพ.ศ.๒๕๔๕ เป็นกฎหมายที่สะท้อนความเข้าใจของรัฐบาลต่อหลักการศาสนาอิสลามในเรื่องระบบการเงินที่จำเป็นต้องปราศจากดอกเบี้ย ปัจจุบันผู้ที่ใช้บริการธนาคารอิสลาม เป็นชาวไทยพุทธร้อยละ ๖๙.๖๑และมุสลิมร้อยละ ๓๐.๓๙ที่สำคัญแม้ใช้ชื่อว่าธนาคารอิสลามแต่มุสลิมทุกคนไม่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือประชาชนไทยพุทธแต่อย่างใด
ตามที่กล่าวมา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามทั้ง ๔ฉบับไม่มีกฎหมายฉบับใดที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรศาสนาอิสลามหรือคนมุสลิมจะมีสิทธิอำนาจหรือหน้าที่ข้าไปแทรกแซงกิจการทางการเมืองของรัฐไทยได้แม้เพียงน้อยนิด
๓. ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อ "กิจการฮาลาล" ของประเทศไทย
ในเรื่องดังกล่าวขอแจ้งให้ทราบว่า การรับรองฮาลาลมิได้เกิดจากการเรียกเก็บเงินขององค์กรศาสนาอิสลามจากสถานประกอบการ ทว่าเป็นไปในทางกลับกัน นั่นคือสถานประกอบการร้องขอให้องค์กรศาสนาอิสลามรับรองฮาลาลเพื่อประโยชน์ด้านการค้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นเช่นนี้ทั่วทั้งโลก กรณีประเทศไทย การรับรองฮาลาลเป็นอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (สกอจ.)จำนวน ๔๐ แห่ง และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.)ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตราที่ ๒๖(๑๓) และมาตราที่ ๑๘(๘) ตามลำดับอันเป็นไปตามหลักบัญญัติในศาสนาอิสลามว่าผู้ทำหน้าที่ตัดสินข้อกำหนดในศาสนาอิสลามจำเป็นต้องเป็นมุสลิมที่รู้ลึกซึ้งในศาสนาอิสลาม อันเป็นข้อกำหนดที่ยอมรับกันทั่วโลก
ปัจจุบันมีสถานประกอบการขอรับการรับรองฮาลาลสะสมตลอดหลายสิบปีจำนวน ๙,๐๐๐ สถานประกอบการทว่ามีการต่ออายุทุกปีประมาณ ๖,๐๐๐ สถานประกอบการมีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลและต่ออายุทุกปีจำนวน ๔๐,๐๐๐ ผลิตภัณฑ์ มีการเก็บค่ธรรมเนียม ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อสถานประกอบการต่อปี ๑,๐๐๐ บาทต่อผลิตภัณฑ์ต่อปี เกิดรายได้จากสถานประกอบการ ๑๒๐ ล้านบาทต่อปี รายได้จากผลิตภัณฑ์ ๔๐ ล้านบาทต่อปีรวมทั้งสิ้น ๑๖๐ล้านบาทต่อปีรายได้นี้ดีอรายได้สูงสุด หากเรียกเก็บได้ครบตามที่กำหนตโดยเป็นรายได้ที่กระจายไปที่สกอจ. ๔๐ แห่ง และ สกอก.๑แห่งในสภาพความเป็นจริงสถานประกอบการจำนวนมากมิใชโรงงานขนาดใหญ่แต่เป็นวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดเล็ก (SMES) การเก็บค่าธรรมเนียมจึงลดลงตามขนาดของโรงงานจากนโยบายของสกอจ. แต่ละแห่ง เป็นต้นว่ บางจังหวัดจัดเก็บสถานประกอบการของชาวบ้านเพียง ๑,๐๐๐ บาท มิใช่ ๒๐,๐๐๐ บาทสกอท. และ สกอจ. ร่วมมือกันวางระบบฮาลาลในร้นอาหารทั่วประทศพื่อสนับสนุนกิจการการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้แก่ประเทศจำนวนมหาศาลโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสถานประกอบการแต่ละแห่งเพียง ๑๐๐ บาทต่อป มิใช่ ๒๐,๐๐๐ บาท
ข้อมูลจากสถาบันวิจัย Goba Trade Atas ของสหรัฐอเมริกซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลรายงานวหากนับรวมกับรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลไปยังประเทศที่มิไช่มุสลิมอีกกว่าร้อยประเทศรายได้อาจสูงถึง๑๒,๐๐๐ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ๓๖๐,๐๐๐ล้านบาทต่อปี ตัวเลขหลังนี้เองที่อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยมีรายได้จากการรับรองฮาลาลกว่า ๓๐๐,๐๐๐ล้านบาทซึ่งเป็นไปไม่ได้ และรายได้กว่า ๓๖๐,๐๐๐ ล้านบาทจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลสู่ต่งประเทศนี้ เป็นรายได้ของโรงงานและบริษัทผู้ผลิตสินด ผู้ประกอบการส่งออก นักธุรกิจ รายได้บางส่วนเป็นเงินเตือนพนักงานและคนงานในอุตสาหกรรมที่มีนับจำนวนแสน อีกบางส่วนเป็นรายได้สำหรับเกษตรกรที่ผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรที่อาจมีนับจำนวนล้านคนที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศไทยไปทั่วโลกสร้างรายได้หลายแสนล้านบาทเกือบทั้งหมดมิใช่มุสลิมแต่เป็นพี่น้องคนไทยทั้งปวงฮาลาลจึงเป็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนในภาพรวม มุสลิมที่มีเกือบสองพันล้านคนทั่โลกให้การยอมรับเครื่องหมายรับรองฮาลาลจากประเทศไทยอันเป็นผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองอาลาลจากประทศไทยไร้บการยอมรับทั่วโลกหาไม่แล้วประทศไทยจะสูญเสียรายได้เหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย มุสลิมในประทศไทยมีในสัตส่วนที่ต่ำมีประชากรรวมแล้วไม่ถึงร้อยละ ๓๐ของประชากรประเทศ อีกทั้งส่วนใหญ่มิได้ทำธุรกิจมุสลิมจึงภูมิใจที่ผลิตภัณฑ์ฮาลาลสร้างประโยชน์ให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มุสลิมจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกในเชิจิตใจว่าฮาลาลคือหนทางหนึ่งที่มุสลิมจะสามารถตอบแทนบุญคุณต่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเขา
รายได้ที่องค์กรศาสนาอิสลามได้รับจกการเก็บค่ธรมนียมในการให้การรับรองฮาลาลถูกใช้ในการบริหารจัดการสคอจ.และ สกอก.ที่มีค่ใช้จ่ายสำหรับบุคลกรสถานที่และอื่นๆจำนวนมากทั้งนี้สกอจ. สกอท. นับเป็นองค์กรภาคเอกชนที่มิได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนั้นรายได้บางส่วนใช้ในเรื่องการศึกษาช่วยผู้ประสบภัยพิบัติและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งในประเทศและต่งประเทศโดยไม่ได้แบ่งแยกศาสนา และบางส่วนใช้ในเรื่องของการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ประเด็นด้านภาษีนั้นสกอท.สกอจ.เป็นองค์กรทางศาสนาได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจากรัฐเช่นเดียวกับวัดและศาสนสถาน จึงมิได้เสียภาษี
สำนักจุฬาราชมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรศาสนา ขอเรียนว่ามุสลิมในประเทศไทยมีความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย ดำเนินชีวิตอยู่กายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้รับสิทธิเสรีภาพในการดำรงตนเฉกเช่นมุสลิมที่ดีพึงกระทำ และขอยื่นยันหลักการเคารพความชื่อซึ่งกันและกัน ไม่บริภาษว่ร้ายต่อผู้อื่นโดยปราศจากความถูกต้องและข้อเท็จจริง ที่สำคัญคือการดำรงซึ่งความคารพให้เกียรติและยอมรับกันและก้ในเรื่องของความเชื่อศาสนา ชาติพันธุ์ และภาษา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้นำหรือรัฐบาลตลอดทั้งสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย พยายามช่วยกันรักษาทุนทางสังคมที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คนที่แตกต่างหลากหลายทางศาสนา สำนักจุฬาราชมนตรี และองค์กรบริหารของมุสลิมทุกภาคส่วนขอปวรณาตนเป็นสถาบันที่จะธำรงรักษาคุณลักษณะและทุนทางสังคมที่เป็นรากฐานความมั่นคงของมนุษย์และชาติเพื่อให้ประเทศไทยสืบสานความเป็น "สุวรรณภูมิ" ของผู้คนทุกหมู่เหล่าอย่างสงบสันติต่อไป